Skip to main content

 

เมื่อศึกษาเรื่องอาชีพของคนไร้บ้าน เจ้าหน้าที่ผู้ทำงานเกี่ยวข้องคนหนึ่งถามว่า “ขอทานน่ะ จะจัดเป็นอาชีพด้วยหรือเปล่า”

ว่ากันตาม พ.ร.บ. ควบคุมการขอทาน พ.ศ.2484 การขอทานมีความผิดตามกฎหมาย ดังนั้น ถ้าพิจารณาตามกรอบนี้ ขอทานคงนับเป็น “อาชีพ” ไม่ได้ ในทำนองเดียวกันกับการขายบริการทางเพศและการทำมาหากินด้วยวิธีการอื่นที่กฎหมายไม่อนุญาต

แต่กฎหมายคงไม่สามารถผูกขาดการนิยามความถูกต้องไว้ได้เสียทั้งหมด

สำหรับข้าพเจ้าการขอทาน เป็น “การงาน” ที่สุจริตแบบหนึ่ง ยกเว้นการบังคับขอทานในขบวนการค้ามนุษย์  

ด้วยโอกาสทางสังคมที่ได้รับไม่เท่ากัน และด้วยเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ทำให้อาชีพการงาน "ดี ๆ" ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ การขอทานจึงกลายมาเป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่มีทางเลือกในการหาเลี้ยงชีวิตได้น้อยเต็มที

งานศึกษามากมายชี้ให้เห็นว่าคนทำงานขอทานนั้นมีอยู่ในทุกบ้านเมือง และการขอทานก็ไม่ใช่การงานที่ทำกันง่าย ๆ แต่มีระเบียบวิธีของตัวเอง  มีเวลาและสถานที่เฉพาะเจาะจงที่ผู้ทำงานแบบนี้จะต้องเรียนรู้และฝึกฝน เช่นว่า จะเลือกไปนั่งตรงไหนไม่ให้ถูกตำรวจซิว ควรจะไปช่วงเวลากี่โมง จะใช้เทคนิคการขออย่างไรให้ได้เงิน จะเก็บเงินที่ได้มาได้อย่างไรไม่ให้นักเลงหรือมิจฉาชีพฉกชิงไป ฯลฯ

ในยามค่ำคืนข้าพเจ้าพบชายในภาพที่บริเวณตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่ง มองเห็นตั้งแต่เขาเริ่มเดินเข้ามาเพียงลำพังโดยใช้ไม้เท้าช่วยกำหนดทิศทาง ค่อย ๆ คลำทางมาตามแนวรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเรียงรายอยู่ และเดินเข้ามาลึกจนถึงใจกลางตลาด

เขาไม่ได้แค่นั่งขอทานเฉย ๆ แต่ตะโกนร้องเพลงและตีขาของตนเองอย่างแรงให้มันมีเสียงดังประหนึ่งเครื่องดนตรีประกอบเพลง

ยืนดูอยู่ครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นหลายคนเอาเงินมาใส่ตะกร้าให้ เมื่อหยุดพักระหว่างเพลง เขาเก็บเงินจากตะกร้าเข้ากระเป๋าก่อนจะร้องเพลงต่อไป

ข้าพเจ้าอยู่ไกลในระยะที่ฟังไม่ชัดเจนว่าเขาร้องเพลงอะไรบ้าง แต่เห็นความพยายามในการทำมาหากินของเขาแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก

ผู้คนในสังคมล้วนแต่มีความไม่เท่าเทียมกัน แม้แต่ในบรรดาผู้ทำงานขอทานเองก็ยังมีทุนไม่เท่ากัน วณิพกจำนวนมากมีอุปกรณ์ทำงานดีกว่านี้ มีเครื่องดนตรี ไมโครโฟนและเครื่องขยายเสียง หรือแม้กระทั่งมีคนดูแล แต่ขอทานอีกจำนวนมากทำได้เพียงนั่งขอทานอยู่เฉย ๆ

แม้ว่าจะเป็นการนั่งเฉย ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดว่านั่นคือการ “ไม่ทำงานทำการอะไร”

ถ้าจะมีคนในสังคมที่ไม่ทำงานทำการอะไร ก็น่าจะเป็นพวกคนร่ำรวย ที่สามารถสะสมทุนและใช้เงินจากดอกผลของมัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของลูกจ้างที่มีทุนน้อยเสียมากกว่า

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคนขอทานมักถูกเข้าใจอย่างสับสนปนเปกัน ทำให้การทำงานขอทานซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นไปอีก เมื่อโดนรังเกียจเดียดฉันท์ ถูกประณาม และถูกทางการกวาดจับเป็นระยะ ๆ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายข้างต้น

เรื่องที่ควรเข้าใจก็คือ คนไร้บ้านบางส่วนทำงานขอทาน แต่คนทำงานขอทานไม่ได้เป็นคนไร้บ้านทั้งหมด  

คนขอทานบางส่วนตกอยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ขอทานแบบเป็น “ขบวนการ” ในแง่นี้ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าการรณรงค์ของหลายองค์กรที่ว่าอย่าให้เงินขอทานนั้นจะเป็นแนวทางที่ดีแล้วหรือไม่ 

เป็นที่เข้าใจร่วมกันว่าเมืองที่พัฒนาได้ดี ไม่มีควรมีคนทำงานขอทาน แต่ก็น่าแปลกที่เมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วโลกเรากลับพบว่ามีขอทานและคนไร้บ้านอยู่มากมาย กลายเป็นความลักลั่นอันเหลือทนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานเกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำของโอกาสที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับจากการพัฒนาอย่างชัดเจน 

และนั่นยังหมายความว่ายังไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น

การสงสารเห็นใจเพียงอย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แต่การที่รัฐกวาดจับก็ไม่น่าจะใช่ทางออก

หากรัฐไม่ยอมให้คนสิ้นไร้ไม้ตอกทำงานขอทาน สิ่งที่น่าจะถามกลับก็คือรัฐมีทางออกให้แก่คนเหล่านี้อย่างไร ที่นอกเหนือไปจากการกวาดล้าง หรือจับเข้าสถานสงเคราะห์ ซึ่งในความเป็นจริงก็พบว่าสถานสงเคราะห์นั้นไม่สามารถรองรับผู้ยากไร้ทั้งหมดในประเทศได้หมด และผู้คนเหล่านี้ก็เชื่อว่าตนเองยังมีเรี่ยวแรงที่จะหาเลี้ยงชีวิตด้วยตนเองได้โดยสุจริต

ก่อนจะรังเกียจเดียดฉันท์ขอทานว่า “ไม่รู้จักทำการทำงานอะไร”

ลองเปลี่ยนมาพยายามมองในจุดที่พวกเขายืนอยู่ดูบ้าง อาจจะช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น

 

(โปรดติดตามเรื่องเล่าของคนขอทานในตอนต่อไป)

บล็อกของ "ไม่มีชื่อ"

"ไม่มีชื่อ"
ความในใจของหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตที่ถูกจำกัดให้อยู่ร่วมกับความแปลกหน้าที่เลื่อนไหลไปบนผิวทางอันไม่ราบเรียบของเมืองหลวง
"ไม่มีชื่อ"
“ทำอะไรขาย ใคร ๆ ก็หวังรวยกันทั้งนั้น แต่เกษตรยั่งยืนไม่เคยตอบคำถามชาวบ้านว่าจะรวยแน่ไหม ไม่มีใครบอกมาสักคนว่าขายข้าวอินทรีย์แล้วจะรวยเป็นล้าน ไม่มีใครบอกว่าจะพาชาวบ้านรวย”    --------------------------
"ไม่มีชื่อ"
สำหรับคนอีกจำนวนมาก ระดับการศึกษาอาจช่วยให้ชีวิตดีขึ้นก็จริง แต่ไม่มีวันที่พวกเขาจะทัดเทียมกับคนอื่น ๆ ได้เลย เพราะต้นทุนชีวิตในด้านอื่นมีไม่มากพอที่จะเป็นบุญหนุนส่งได้
"ไม่มีชื่อ"
เราอาจรู้สึกถึงเรื่องศักดิ์ศรี จากการมีหรือไม่มีอำนาจในการเลือกหรือปฏิเสธเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน 
"ไม่มีชื่อ"
 หากคุณได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ราวฟ้ากับเหว  ชีวิตใหม่ของคุณควรจะเป็นของใคร เยาวชนจากประเทศพม่าถูกเรียกร้องให้ทำเพื่อ “ชาติ” และประชาชนของกองกำลังกู้ชาติ ขณะที่พวกเขามีชีวิตของตนเอง มีครอบครัว และญาติพี่น้องที่ต้องดูแล
"ไม่มีชื่อ"
นักท่องเที่ยวหลายคนก็คงเป็นแบบฉัน ไปเที่ยวบ้านของเขา แต่กลับมองไม่เห็นคนที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งเราได้เหยียบย่างเข้าไป
"ไม่มีชื่อ"
คนไทยจำนวนมากจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงหงสาวดีที่ย้อนไปไกลกว่าสามศตวรรษตั้งแต่ช่วงเวลาที่พวกเรายังไม่เกิด และโดยที่พวกเรายังไม่เคยเดินทางมาถึง “บะโก” คนไทยจำนวนมากมีอคติกับ “คนพม่า” เพราะเจ็บจำกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ราวกับว่าคนพม่าและกรุงหงสาวดียังแช่แข็งอยู่ดังเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ และทั้ง ๆ ที่พวกเขายังไม่เคยรู้จักมักจี่หรือแม้แต่พูดคุยกับ “คนพม่า” เลยสักครั้ง
"ไม่มีชื่อ"
วัยชราเป็นวัยปริศนาที่เข้าใจได้ยากไม่แพ้วัยอื่น ๆ ที่สำคัญมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดการได้ยาก เราจัดการคนอื่นไม่ค่อยได้ พอ ๆ กับที่เราไม่ชอบและไม่ยอมให้ใครมาจัดการตัวเรา
"ไม่มีชื่อ"
เหตุผลเหล่านั้นก็ยังไม่อันตรายเท่ากับเหตุผลที่ว่าเรา “ชินชา” เพราะตกอยู่ภายใต้สภาวะของการถูกควบคุมนานเกินไปจนกระทั่งไม่อาจรู้สึกอีกต่อไปว่าเรากำลังถูกควบคุม  ยิ่งไปกว่านั้นเรายังอาจเห็นดีเห็นงามกับการควบคุม และกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้ระบบการควบคุมแบบนั้นทำงานได้อย่างทรงพลังมากขึ้น
"ไม่มีชื่อ"
การปลูกฝังและยึดมั่นถือมั่นกับค่านิยมย้อนยุคจนเกินพอดีกลายเป็นการสร้างปัญหาครอบครัว เพิ่มช่องว่างระหว่างคนต่างวัยที่เติบโตมาต่างยุคสมัย และทำให้วัยรุ่นวัยเรียนมีปัญหาชีวิตจนเกินความจำเป็น
"ไม่มีชื่อ"
เหตุใดการทำงานพัฒนาตามแนวทางที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็น “องค์รวม” หรือมีลักษณะบูรณาการ  จึงละเว้นที่จะทำความเข้าใจความคิดและชีวิตทางการเมืองของชาวบ้านผู้เป็น “ศูนย์กลาง” ของการพัฒนา