Skip to main content

มีนา


ถึง พันธกุมภา


จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง


หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)


มีใครบ้างไม่อยากมีความรักที่ยิ่งใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ชื่อว่าประสบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...อาจมีเพียงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น ที่ปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ชื่อเสียงหรือการยกย่องในฐานะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประชาชน ผู้คนให้กับท่านเอง ท่านไม่ได้ขอ ไม่ได้ต้องการ

 


ฉันมอง (และฉันก็เป็นคนหนึ่ง) ที่อยากประสบความสำเร็จและมีความรักจากอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นทั่วๆ ไป ฉันอยากมีบ้าน ฉันอยากมีรถ ฉันอยากมีคนที่รักอยู่เคียงข้าง และมีความสุขตลอดไป...ตราบชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกันนิทาน นิยายรักทั้งหลาย ที่สุดท้ายมักจบด้วยความสุขและความสมหวัง ทั้งเรื่องการงานและความรัก


เพื่อนๆ ที่ฉันรู้จัก รวมทั้งตัวเองต่างตั้งใจที่จะมีวันนั้น แต่ฉันพบว่า เมื่อโตขึ้น การต้องต่อสู้กับการทำงานมันช่างนำความเหนื่อยล้ามาให้ การมีคนรักก็เหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน และไม่ใช่รักทุกครั้งจะสมหวังทุกครั้ง บ้างเรารักเขา เขาไม่รักเรา เขารักเรา เราไม่รักเขา ยิ่งปัจจุบันเงื่อนไขอื่นๆ นอกเหนือจากความรัก หรือในนามของ “ความเหมาะสม” ยิ่งถูกให้ค่าเหนือกว่าความรักเสียอีก


เพื่อนผู้หญิงฉันคนหนึ่งยอมรับกับฉันว่า เขารักผู้ชายอีกคนหนึ่งมากกว่าคนรักปัจจุบัน แต่ผู้ชายที่เขารักมีฐานะไม่ดีเท่าผู้ชายคนนี้ ซึ่งพ่อแม่สนับสนุนให้คบหากันอย่างมาก ฉันเคยถามเพื่อนว่า “แล้วความสุขของเธออยู่ตรงไหน?” เธอตอบฉันว่า ความสุขของฉันอยู่ที่เงิน การมีเงินจับจ่ายใช้สอยสำคัญสำหรับเธอมาก


เท่าที่ฉันเห็นชีวิตรักของคนคู่นี้ก็มีความสุขในทางโลกดี ... ชีวิตทางเพศที่เข้ากันได้ ผู้ชายมีเงินให้ผู้หญิงใช้เสมอ ไม่เคยถามว่าเธอ ช็อปปิ้งมากไปหรือเปล่า อย่างไร แต่เมื่อใดที่เพื่อนคนนี้มีปัญหามักจะมาจากการที่เธอถูกพ่อของผู้ชายพูดว่า หากเพื่อนฉันไม่มีผู้ชายคนนี้ เธอก็คงไม่มีวันนี้...สำหรับฉัน มันคือความจริง


สิ่งที่ฉันเป็นจากเพื่อนคนนี้คือ เธอไม่เคยเคารพตัวเองเลย ... หากเป็นนิยายรักแล้ว ฉันคงจะเขียนให้เพื่อนคนนี้กลับไปคืนดีกับคนที่เธอรัก ยอมลำบากนิดหน่อย...แค่ไม่มีเงินซื้อของมากมายแล้วเอามากองทิ้งไว้...เท่านั้น


แต่นี่...เป็นชีวิตจริง เพื่อนของฉันยังคงดื้อดึงที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ให้ได้ และอยากให้พ่อเขายอมรับในตัวเธอ สำหรับฉัน...ฉันเคยบอกเพื่อนไปว่า เธอยังไม่เคารพตัวเองเลย แล้วเธอจะคาดหวังอะไรกับการให้คนอื่นมาเคารพตัวเธอ... คำพูดนี้ ทำให้ฉันและเพื่อนแทบจะขาดความสัมพันธ์กันไป เพราะเพื่อนฉันต้องการคนยืนเคียงข้าง แม้เขาจะทำสิ่งใดก็ตาม ส่วนฉันอยากให้เพื่อนรักตัวเอง...ก็เท่านั้น


เรื่องราวของคู่รักคู่นี้ ยังไม่จบและยังไม่ดำเนินไปถึงไหน เพราะมันฉายซ้ำไป-ซ้ำมากว่า 5 ปี และยังฉายซ้ำต่อไป ด้วยวัฏจักรเดิมๆ ไม่ต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ฉันเคยพูดคำนี้

พี่เห็นด้วยตาตัวเองว่า สิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะความอยากมีรักที่สำเร็จและยิ่งใหญ่ เพื่อนคนนี้เสียสละชีวิตด้านการงาน ต้องคอยตามแฟนไปทำงายที่นั่น ที่นี่ โดยที่งานของตัวเองไปไม่ถึงไหน สุดท้ายก็ต้องออกจากงานมาเพื่อช่วยงานเขา กลายเป็นการกลืนกินชีวิตด้านอื่นๆ ของเขาเองไป


จากประสบการณ์กับเพื่อนคนนี้ทำให้พี่ได้เรียนรู้ว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง มันจะไม่ทำลายมิตรภาพระหว่างเรา หากเราเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ สำหรับพี่แล้วพี่ไม่ได้คาดหวังจะให้เพื่อนทำตามในสิ่งที่พี่บอกทุกอย่าง การรักเพื่อนสำหรับพี่ “มิตรภาพ” ระหว่างเราที่เป้นเพื่อนกันมานานมันยังคงอยู่ เมื่อพี่บอกความคิดเห็นของพี่ พี่เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องทำตามเราทุกอย่าง เพื่อนหรือคนรักไม่ใช่ต้นไม้ที่เราปลูก ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเรา ที่เราจะให้เขาทำตามคำสั่งหรือสิ่งที่เราบอกทุกอย่าง พี่เพียงให้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจให้เขาเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจเป็นของเขาเอง ความรับผิด รับชอบ ต่อการตัดสินใจก็เป็นของเขาเองเช่นเดียวกัน


ในฐานะเพื่อน เราทำได้เพียง...เป็นเพื่อน ฟังความทุกข์ ฟังความสุขกับเพื่อน แต่เราไม่อาจเอาใจไปทุกข์เมื่อเพื่อนอกหัก หรือไม่มีเงินใช้ เราเพียงยืนข้างๆ เท่านั้น


การช่วยเหลือและให้สติกับเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมความรักที่มีต่อตนเองด้วย เช่นเดียวกับแม่ที่รักลูกหรือคนที่ปลูกต้นไม้ ยามลูกทุกข์ ต้นไม้ถูกลมพัดแรงๆ เราคงไม่ไปช่วยพยุงยามต้นไม้มีพายุ แต่ต้นไม้ต้องยืนรับพายุนั้นด้วยตนเอง หากเรามั่นใจแล้วว่ารากฐานของต้นไม้ที่เราปลูกแข็งแรง ลูกที่เราเลี้ยงมีพื้นฐานจิตใจที่มั่นคง เพื่อนของเรามีจิตใจเข้มแข็งพอ เมื่อเขาประสบทุกข์ พบกับปัญหา เขาย่อมก้าวเดินผ่านมันออกมาได้


แล้วถ้าเราไม่มั่นใจ...ว่าเพื่อน ลูก หรือต้นไม้ แข็งแรงพอ เราจะทำอย่างไร...


ลองกลับไปดูข้อ 9 (จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป) ...ทำได้ด้วยการยืนเคียงข้างและให้กำลังใจ อย่าลืมที่จะบอกคนที่คุณรักว่า เปิดใจที่จะเรียนรู้กับความเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ชีวิตที่มีขึ้นมีมีลง ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนอื่นๆ ไม่เพียงเรื่องความรักระหว่างคนรักหรือแม่ลูก แต่ยังรวมถึงเรื่องสถานภาพทางสังคม ชีวิตทั่วไปด้านอื่นๆ ที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตนเองทั้งหมด


ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ถนนหรือย่านที่หรูหราในกรุงเทพมหานคร ความหรูหราสวยงามจะมีอยู่ไม่ได้เลย หากไม่มีคนทำความสะอาด คนกวาดถนน คนคอยอำนวยความสะดวกให้รถผ่านไปได้ คนเก็บขยะที่สกปรกจากมือของคนที่แต่งตัวหรูหราเหล่านั้น ...คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า วันนี้คนเป็นคนที่แต่งตัวหรูหราคนนั้น วันข้างหน้าคุณจะไม่ได้เป็นคนทำความสะอาด


ความตระหนักรู้และความเคารพต่อตนเอง ความเคารพต่อผู้อื่น ในฐานะมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นได้-ลงได้ ไม่ต่างอะไรจากวันนี้คุณให้ความเคารพกับตัวคุณเอง คุณอย่าลืมเคารพคนที่ทำให้ชีวิตของคุณหรูหราอยู่ได้ด้วย


ความสำเร็จในชีวิตจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีคนที่ไม่ประสบกับความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณคิดว่า สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้สำหรับคุณแล้วมันคือการประสบความสำเร็จ แม้แต่การปฏิบัติธรรมให้สำเร็จคนก็ยังคาดหวังและเอามันไปพ่วงกับสิ่งที่คุณซื้อได้ เมื่อคุณซื้อบุญคุณอยากรู้ว่าได้อะไร ไม่ต่างกับเมื่อคุณซื้อนมดื่มสักกล่องคุณอ่านข้างกล่องว่าดื่มแล้วได้อะไร และคำนวณว่ายังขาดอะไร

ด้วยความที่คนสมัยใหม่เป็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้สถานธรรมหรือวัดบางแห่งตอบสนองคุณว่า เมื่อคุณทำบุญด้วยเงินเท่านี้...คุณจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ ไม่ต่างอะไรกับที่เพื่อนของฉันอีกหลายคนที่มองการดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติสู่ความเป็นอรหันต์เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่ต้องไปให้ถึง...ก็คือความสำเร็จ

...
จะเป็นไรไหม ถ้าชีวิตไม่มีเป้าหมาย...แต่สำเร็จได้


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…