Skip to main content

มีนา


ถึง พันธกุมภา


มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง...


ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ


เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง


เมื่อเริ่มต้นการเดินทางจากรุงเทพฯ พี่รู้จักกับพี่ๆ หลายคนที่ร่วมเดินทางครั้งนี้ ในฐานะเพื่อนร่วมงาน อย่างไม่ลึกซึ้ง อีกคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักและเห็นหน้ามาก่อนเลย เมื่อเพียงเห็นหน้า เขาก็ไม่ชอบพี่เสียแล้ว และยังดำรงความไม่ชื่นชอบจนกระทั่งวันที่เราจากกัน หลายครั้งก็คิดว่า เออ...คนแบบนี้ก็มีด้วยหนอ


ด้วยความไม่รู้ต้นสาย ปลายเหตุของความไม่พึงใจของเพื่อนร่วมทางคนนี้ พี่ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยายามเมตตาเขา...ที่ต้องใช้ความพยายาม เพราะความไม่ชอบของเขานั้น ได้ทำให้สิ่งที่เขาทำกับเรา ปฏิบัติต่อเรา เป็นความพยายามทำให้เราโกรธ ไม่ชอบเขา เช่นเดียวกับที่เขาไม่ชอบเรา


บางครั้งอดนึกไม่ได้ว่า เออ...หนอ มนุษย์เรานี่ช่างหาสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ในจิต เอาไว้ในใจแท้ๆ...


พี่เดินทางผ่านเรื่องราวของความไม่พึงใจ ไม่ชอบใจ ของคนอื่นที่มีต่อเรา และที่เรามีต่อคนอื่นมานาน พี่รู้สึกว่ามันเนิ่นนาน ทุกครั้งจะพยายามหาเหตุผลมาอธิบายว่า เอ...มันเรื่องอะไรกันหนอ ทำไมเขาถึงคิดกับเราแบบนี้ ทำไมเราเป็นเช่นนี้ ทำไมเราไม่ทำอย่างนี้...พี่มาสังเกตจากเรื่องนี้ หลังจากรับรู้ว่า แม้การกระทำใดๆ ของเราก็อาจจะก่อความไม่ชอบใจกับคนๆ นี้ได้


อย่างการทำงานร่วมกัน พี่เคยผ่านวิกฤตในการตัดสินใจเรื่องการทำงานและการเรียนมาแล้ว และเราได้มีการแลกเปลี่ยนกันในกลุ่ม ประสบการณ์ที่เขาเล่าให้เราฟังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในการเป็นนักเรียนที่ดีและอยากกลับไปเป็นครูที่ดี แต่เมื่อมาถึงจุดนี้กับการทำงานด้านสังคม เขาลังเลที่จะกลับไปเริ่มต้นกับการศึกษาใหม่ๆ และสังคมการทำงานแบบใหม่ที่ไม่มีอะไรแน่นอน


ส่วนพี่ผ่านจุดที่กำลังเปลี่ยนแปลงนั้นมาแล้ว พี่จึงแลกเปลี่ยนความคิดผ่านประสบการณ์ของตนเองไป กาลกลับเป็นว่า เขาเข้าใจว่าเราอยากอวดในสิ่งที่เหนือกว่า สูงกว่า ดีกว่า ไปกระทบกับตัวตน (Ego) ของเขาอย่างเต็มๆ ยิ่งทำให้เขายอมรับเราไม่ได้ และแข่งขันมากขึ้น


ประสบการณ์ครั้งนี้สอนพี่ และทำให้พี่ระลึกถึงข้อเขียนของ พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล ที่เคยอ่านมาก่อนนี้ว่า ...มนุษย์แม้ถูกสอนให้มีเหตุผลมากแค่ไหนก็ตาม ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ก็มีความสุข...สบาย กว่ามนุษย์ในยุคก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่ยังคงใช้สัญชาตญาณที่จดจำความกลัว มากกว่าความคิดที่เป็นเหตุ เป็นผล…”


เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเกลียดและความกลัวของมนุษย์อย่างไร...เมื่อก่อนพี่ก็นึกไม่ออกว่า มันเกี่ยวอย่างไร


แต่เมื่อมาเจอด้วยตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บางครั้งเราเองเป็นผู้กระทำ คือทำความไม่พึงใจ ไม่ชอบใจให้กับใครบางคนโดยที่เรารู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม หรือบางคนกระทำต่อเรา เมื่อก่อนพี่จะฟูมฟายว่า เราไปทำอะไรให้เขามากมาย ทำไมเขาถึงไม่ชอบเราขนาดนี้ รังเกียจและกลั่นแกล้งเราขนาดนี้ เมื่อเติบโตมากขึ้น พี่ก็เริ่มไม่เชื่อว่า แม้เราจะอยู่เฉยหรือวางตัวอย่างสงบ ก็อาจจะเป็นเหตุให้เกิดความไม่พึงใจดังกล่าวนั้นได้


บางครั้งความเป็นตัวตนของใครหลายคนก็ทำให้ใครอีกหลายคนไม่พอใจ เช่น การเกิดมาในชาติตระกูลที่ดีกว่า การมีการศึกษาดีกว่า การมีโอกาสทางสังคมที่ดีกว่า เป็นต้น แต่หากพิจารณาแค่เรื่องคนเพียงอย่างเดียว เดี่ยวๆ เลยนั้น ก็จะขาดองค์ประกอบไป คือ “สิ่งแวดล้อม”


เรื่องนี้พระอาจารย์ ไพศาล ได้อธิบายไว้ค่อนข้างดีว่า ...สิ่งแวดล้อมสมัยก่อนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย มนุษย์จึงพัฒนาการใช้สัญชาตญาณมานานนับล้านๆ ปี...และมีการเปลี่ยนแปลงมาสู้สังคมที่ใช้เหตุผลมาเมื่อไม่นานมานี้เอง...” มนุษย์ยังคงจดจำกับการที่ใช้สัญชาติญาณบอกถึงความปลอดภัย การเลี่ยงภัย หลบภัย และเรียนรู้ที่จะเท่าทันตนเอง ผ่านการศึกษาในรูปแบบใดๆ ก็ตาม


ยิ่งคนที่สนใจพระพุทธศาสนา และมีการปฏิบัติจะรู้ว่า หัวใจของการปฏิบัติสำหรับคนทั่วไป คือ การรู้จักตัวตนของตนเอง แต่ไม่ใช่การโทษตนเอง หลายคนตีความความผิดบาป ความไม่ชอบใจ ความอิจฉา ริษยา ความโกรธ ความเกลียด ที่ตนเองมี ว่าเป็นสิ่งผิด สิ่งบาป และต้องไม่มีอยู่ในตัวตน เพราะจะเป็นคนไม่ดี ประเด็นนี้ที่พี่พยายามรู้จักตนเองคือ ทำอย่างไร ที่จะไม่กดความรู้สึกเหล่านี้แล้วบอกว่า “ไม่นะ...ฉันไม่โกรธ ฉันไม่เกลียด ฉันไม่อิจฉา...” แต่พยายามรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง โชคดีที่พี่มีครูและกัลยาณมิตรคอยเตือนสติอย่างเท่าทัน


พี่เห็นคนปฏิบัติจำนวนมาก ปากก็พูดมา เราต้องพยายามไม่เป็นคนไม่ดี ไม่โกรธ ไม่เกลียด... แต่ไม่เรียนรู้ที่จะเท่าทันอารมณ์ตัวเอง พี่ค้นพบกับการเดินทางและการปฏิบัติที่แสนจะธรรมดาว่า “การยอมรับ” ในสิ่งที่เราเป็นตอนนั้น...มันง่ายมากเลย...และช่วยให้เราเดินทางผ่านความโกรธ เกลียด อิจฉา ชอบ หรือไม่ชอบได้ในระดับหนึ่ง หลายครั้งถึงกับวางมันได้


น่าเสียดายที่ครู อาจารย์ หลายๆ คนที่เป็นครูทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่องตัวตน แต่ไม่บอกเคล็ดลับในการเท่าทันตัวตน และหลายคนขาดการเชื่อมโยงความเป็นตัวตนกับสังคมในด้านอื่นๆ พี่ไม่ค่อยรู้จักครูหรือพระอาจารย์มากนัก แต่พระอาจารย์ที่พี่ได้เรียนรู้ผ่านหนังสืออย่างพระพุทธเจ้าและท่านอื่นๆ ทำให้รู้ว่า การที่คนต้องไปปฏิบัติที่วัด การมีวัดนั้นเป็นอุบายชั้นดีที่ทำให้คนที่ต้องการปฏิบัติธรรมมีสถานที่ที่ไม่สบายเกินไป ไม่ลำบากเกินไป และปลอดภัยสำหรับคน เมื่อสังคมปลอดภัยมากขึ้นแล้ว แต่คนก็ยังไม่ได้ทิ้งสัญชาตญาณแห่งความระมัดระวังนั้นไป


เมื่อมาทบทวนดูแล้ว ชีวิตของคนสมัยนี้เต็มไปด้วยความสบาย ความสนุกสนาน แต่กลับมีความกลัวในใจมากยิ่งไปกว่ามนุษย์สมัยก่อน หรือคนในสังคมที่ค่อนข้างลำบาก อย่างคนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ตามป่า ดง ดอย หรือพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีเงินมากนัก กลับมีความสุข มีรอยยิ้ม มีกิน มีใช้ ยิ้มได้มากกว่าคนที่อยู่ในเมือง จะมีก็แต่ทุกข์จากดิน ฟ้า อากาศ เพียงเท่านั้น ทั้งนี้คนกลุ่มนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการผลิตที่ไม่ใช่การตอบสนองตลาดมากๆ เพราะยังมีคนชาติพันธุ์อีกมากที่ไม่สามารถอยู่บนพื้นที่ของตนเองได้ เพราะการถูกขับไล่จากป่า และการผลิตตามตลาด (contact farming) แล้วมีหนี้สิน เหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยแวดล้อมให้มนุษย์ไม่สามารถพัฒนาตัวตนด้านในได้ (spiritual life) ได้อย่างที่ควรจะเป็น


ถ้าดูจากการผลิตภาพยนต์ที่ชาวฮอลลีวูดที่ผลิตจากความเชื่อเกี่ยวกับคนบาป คนไม่ดี ทั้งหลายก็จะพบว่า มีคนดีและคนไม่ดีอยู่ปะปนกัน หรือบางครั้งตัดสินใจไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า การมีที่มาที่ไปอย่างไรจึงจะตัดสินว่า ใครดี ใครไม่ดี แล้วใครควรจะเป็นผู้มีชีวิตรอด และอยู่บนเรือของพระเจ้าและไปสร้างโลกใหม่ด้วยกัน เพราะในที่สุด โลกอาจจะไม่แตก ไม่มีใครที่ดีที่สุด ไม่มีใครชั่วสุดๆ จนรับไม่ได้


หากเชื่อเรื่อง “การพัฒนา” ไม่เพียงแค่สังคมที่เราพัฒนาได้ คนเรา จิตใจ และสิ่งแวดล้อมก็พัฒนาได้เช่นเดียวกัน การปฏิบัติทางพุทธศาสนาเป็นการเปิดโอกาสให้กับคน ไม่ว่า วันนี้คุณเป็นอย่างไร คุณรู้และเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คุณก็พัฒนาได้ ศาสนาใดๆ ไม่ได้มีความต่าง เพราะต่างเปิดโอกาสให้คุณทำดี รู้จัก และเท่าทันตนเอง อย่าเชื่อโดยไม่มีเหตุผลนะจ๊ะ


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก