Skip to main content
เมื่อต้นเดือนเมษายน 2551 หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงข่าวว่า "พลังงานเผยไทยผลิตน้ำมันดิบสูงกว่าบรูไน คุยทดแทนนำเข้าปีนี้มหาศาล" (ไทยรัฐ 2 เมษายน 2551)   


สาเหตุที่ผู้ให้ข่าวซึ่งก็คือข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงานได้นำประเทศไทยไปเทียบกับประเทศบรูไน ก็น่าจะเป็นเพราะว่าคนไทยเราทราบกันดีว่าประเทศบรูไนเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายหนึ่งของภูมิภาคนี้ ดังนั้นเมื่อประเทศไทยเราผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่าก็น่าจะทำให้คนไทยเราหลงดีใจได้บ้าง  นาน ๆ คนไทยเราจะได้มีข่าวที่ทำให้ดีใจสักครั้ง  

หลังจากอ่านข่าวนี้แล้ว ผมก็ได้ค้นหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตก็พบว่า ตัวเลขผลผลิตของไทยสูงกว่าของบรูไนเพียงเล็กน้อย คือยอดผลิตของทั้งสองประเทศประมาณกว่าสองแสนบาร์เรลต่อวันเพียงเล็กน้อย  แต่จำนวนประชากรของบรูไนมีไม่ถึง 4 แสนคน ในขณะที่จำนวนประชากรไทยเรามีถึง 64 ล้านคนหรือจำนวนประชากรของไทยมากกว่าเกิน 160 เท่าตัวของประเทศบรูไน

น้ำมันที่บรูไนผลิตได้ส่วนใหญ่ส่งไปขายต่างประเทศ นอกจากนี้บรูไนยังส่งก๊าซธรรมชาติเหลวได้มากเป็นอันดับ 9 ของโลกด้วย รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทำให้สวัสดิการด้านการดูแลสุขภาพของชาวบรูไนดีที่สุดในเอเชีย

มีการคาดกันว่าแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองในบรูไนจะใช้(รวมทั้งขายด้วย)ได้นานถึง 25 และ 40 ปี ตามลำดับ

กลับมาที่การผลิตน้ำมันดิบในประเทศไทยตามข่าวดังกล่าวอีกครั้ง

หากพิจารณาตามตัวอักษรที่ปรากฏในข่าวก็พบว่า ข้อความในวรรคแรกคือ "ผลิตน้ำมันดิบได้สูงกว่าบรูไน" นั้นไม่มีอะไรผิดพลาด   แต่เจตนาที่อยู่เบื้องหลังของผู้ให้ข่าวนั้นน่าจะมีปัญหาดังที่กล่าวแล้ว คือทำให้คนรับข่าวเข้าใจผิดหรือเกิดความรู้สึกที่ดีเกินความจริงกับหน่วยงานของตน

ผมว่าการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่สังคมไทยควรต้องระวังและรู้เท่าทัน

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสำคัญของข่าวนี้ก็สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าประเทศไทยเรามีแหล่งพลังงานปิโตรเลียมเป็นจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าถึงกว่า 100 ล้านล้านบาท  ถ้ารัฐบาลสามารถจัดการได้อย่างโปร่งใส ถูกต้องและเป็นธรรม ก็จะสามารถนำรายได้มาสร้างสวัสดิการด้านต่าง ๆ ให้กับคนไทยได้ดีเช่นเดียวกับประเทศบรูไนด้วย

ข่าวการผลิตน้ำมันดิบข้างต้น เป็นเหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน  แต่อีกหกเดือนต่อมา (ปลายเดือนกันยายน)  ได้มีข่าวใหม่ขึ้นมาว่า  มีบริษัทน้ำมันรายหนึ่งกำลังจะขุดเจาะน้ำมันที่แหล่งใหม่ชายฝั่งจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นแหล่งใหม่ที่คนไทยเราส่วนมากไม่เคยทราบมาก่อน เป็นแหล่งที่ยังไม่เคยขุด เป็นแหล่งที่ไม่ได้นับรวมกับที่ทำให้ "ไทยผลิตได้มากกว่าบรูไน"

ชะลอยประเทศเราจะมั่งคั่งในเร็ววันเสียแล้วจริง ๆ   

ข่าวชิ้นหลังนี้ดังขึ้นมาให้คนไทยรับทราบได้กัน ก็เพราะว่าชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดสงขลารวม 4 อำเภอได้ประท้วงบริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะด้วยการปิดอ่าวและท่าเทียบเรือ  การปิดอ่าวเกิดขึ้นนานถึง 5-6 วัน สร้างผลกระทบทางการขนส่งสินค้าพอสมควร

ท่านผู้อ่านคงเริ่มตั้งคำถามแล้วซิว่า ทำไมชาวประมงพื้นบ้านจึงต้องประท้วงกับสิ่งที่เป็นข่าวดี ๆ เช่นนี้ด้วยเล่า?  เป็นพวกถ่วงความเจริญหรือเปล่า?

เราลองมาดูเหตุผลของทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายบริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะ กับฝ่ายชาวประมงพื้นบ้านที่ทำการประท้วง

ฝ่ายบริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะคือบริษัทนิวคอสตรอล ประเทศไทย จำกัด (Nucoastal-Thailand)  ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัทนี้เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2546 โดยมีบริษัทแม่ชื่อ Coastal Energy ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน  การสัมปทานได้รับการอนุมัติสมัยรัฐบาลทักษิณ

จากเอกสารประกอบการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น (ไม่ระบุวันที่) ของบริษัทได้บอกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้มี 4 ข้อ หนึ่งในนั้นก็คือ "เพื่อลดการนำเข้าพลังงาน ส่งผลให้ประหยัดเงินตราต่างประเทศ" ซึ่งก็สอดคล้องกับวรรคสองข่าวข้างต้นคือ "คุยทดแทนนำเข้าปีนี้มหาศาล"  ทางบริษัทวางแผนจะขุดให้หมดภายในเวลา 16 ปี

ฝ่ายชาวประมงพื้นบ้านใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาได้ให้เหตุผลการประท้วงว่า พื้นที่ที่จะขุดเจาะน้ำมันนั้นอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเพียง 14-30 กิโลเมตรเท่านั้น พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งทำการประมงของพวกเขา (ดูแผนที่ประกอบ- แปลง G5/43) การขุดน้ำมันนอกจากจะก่อให้เกิดมลพิษที่สัตว์น้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นได้แล้ว พวกเขายังไม่สามารถแล่นเรือเข้าไปในบริเวณนั้นเป็นระยะทางรัศมี 1.6 กิโลเมตรจากแท่นเจาะอีกด้วย



พูดง่าย ๆ ก็คือ บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ชาวประมงทำมาหาเลี้ยงชีวิตมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ทวด แต่อยู่ ๆ บริษัทต่างชาติที่ได้รับสัมปทานก็มาถือสิทธิไล่พวกเขาออกไป

เคยมีผู้รู้ได้โพสต์ลงเว็บไซต์ผู้จัดการว่า "ในสหรัฐอเมริกาเขาจะไม่ยอมให้มีการขุดน้ำมันในระยะที่ห่างจากชายฝั่งไม่เกิน
80 กิโลเมตร เพราะในทะเลมีผลกระทบมากกว่าบนบก"

ถ้าท่านผู้อ่านเป็นรัฐบาล ท่านจะจัดการกับความขัดแย้งนี้อย่างไรดีครับ 

สมมุติเหตุการณ์ให้แคบลงมากว่านั้นอีกนิด  ถ้าท่านมีลูกสองคนที่ขัดแย้งกันอย่างนี้ ท่านจะทำอย่างไร ลูกคนหนึ่งอ่อนแอ ไปหากินไกล ๆ ไม่ได้เพราะเรือเล็ก ลูกอีกคน(ความจริงไม่ใช่ลูกตนเอง) มีฐานะมั่นคง  ปีกกล้าขาแข็งไปหากินที่ไหนก็ได้

เอ๊ะ! หรือว่าผมเปรียบเทียบแบบลำเอียง ท่านอาจจะคิดว่า ผมมีคำตอบอยู่ก่อน แล้วสมมติเหตุการณ์ให้ได้คำตอบที่ตามผมต้องการ ถ้าท่านคิดอย่างนั้น "ก็แล้วแต้ว๊ะ!"

การจะตัดสินใจเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก เราต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมที่ครบถ้วน อย่างน้อยเราต้องตั้งคำถามว่า ประโยชน์ที่อ้างว่า  "เพื่อลดการนำเข้าพลังงาน ส่งผลให้ประหยัดเงินตราต่างประเทศ" นั้นเป็นไปได้จริง ๆ หรือ?

ข้อมูลสองชิ้นต่อไปนี้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ครับว่า โครงการขุดเจาะน้ำมันที่สงขลานั้นเพื่ออะไรกันแน่  

ข้อมูลชิ้นแรกเป็นภาพรวมของการผลิต-การใช้น้ำมันในประเทศไทย  ส่วนข้อมูลชิ้นที่สองเป็นโครงการสร้างท่อน้ำมันจากตอนเหนือของประเทศมาเลเซียมายังจังหวัดสงขลา เพื่อมารับน้ำมันดิบจากสงขลาไปกลั่นที่มาเลเซีย แล้วส่งน้ำมันสำเร็จรูปไปขายต่อให้กับประเทศญี่ปุ่นและจีน

เรามาว่ากันทีละชิ้นอย่าย่อ ๆ พอเข้าใจครับ

การผลิตและการใช้น้ำมันในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่คนทั่วไปคิด คือผลิตได้เองในประเทศเท่าใดก็ใช้ภายในประเทศให้หมดถ้ายังไม่พอก็ให้นำเข้าจากต่างประเทศมาเพิ่มเติม

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนี้ไม่

กล่าวเฉพาะ 3 เดือนแรกของปี 2551 ประมาณ 1 ใน 5 ของน้ำมันดิบที่เราผลิตได้เองถูกส่งไปต่างประเทศ  ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ส่งออกไปประเทศเกาหลี  ร้อยละ 28 ไปสหรัฐอเมริกาไกลลิบโน่น  เหตุผลที่ทางราชการอ้าง (วารสารนโยบายพลังงานฉบับ ม.ค.-มี.ค.2551) ก็คือ "น้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีสารโลหะหนักปนอยู่มาก ซึ่งไม่ตรงกับคุณสมบัติที่โรงกลั่นภายในประเทศต้องการ"

น้ำมันดิบที่เรานำเข้า เราอาจคิดว่าก็สั่งเข้ามากลั่นในประเทศให้เพียงพอกับส่วนที่ยังขาดอยู่ จะได้ประหยัดค่าขนส่ง แต่ความจริงพบว่า เราสั่งมามากกว่าความต้องการที่ยังขาดอยู่  ร้อยละ 18 ของน้ำมันที่เรากลั่นได้ภายในประเทศนั้นถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ

ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะความสามารถของโรงกลั่น (ที่มีอยู่ทั้งประเทศจำนวน 7 โรง) มีความสามารถในการกลั่นรวมกันประมาณ 1.03 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เราใช้ภายในประเทศเพียง 0.731 ล้านบาร์เรลต่อวัน  ที่เหลือก็ต้องส่งออก

แผนผังและตัวเลขการเคลื่อนย้ายน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปข้างล่างนี้จะช่วยให้ท่านที่สนใจจริง ๆ สามารถเข้าใจได้มากขึ้น สำหรับท่านที่สนใจในระดับธรรมดา ๆ ก็โปรดมองผ่านไปเลยจะได้ไม่สับสนมาก



จากข้อมูลดังกล่าว ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า ประมาณร้อยละ 20 ของน้ำมันดิบที่เราขุดได้ภายในประเทศนั้นเราส่งออกไปต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเพียงแค่นี้ ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า เราจะตัดสินความขัดแย้งระหว่าง "ลูกคนที่อ่อนแอ" กับบริษัทต่างชาติที่อ้างว่า  "นำพลังงานมาให้คนไทยใช้"  อย่างไร

ลองมาดูข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งครับ ข้อมูลนี้ผมเชื่อว่าคนไทยเรายังไม่ได้รับทราบกัน คือ ทางรัฐบาลมาเลเซีย (โดย ดาโต๊ะ ชรี โมฮัมหมัด นาจีบ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) ได้ให้ทางบริษัทในมาเลเซียร่วมทุนกับบริษัท ปตท. จำกัด ทำโครงการท่อส่งน้ำมันจากสงขลาไปยังทางตอนเหนือของมาเลเซียในรัฐเคดะห์

เมื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่า ทางบริษัท SKS Refinery Pte   Ltd  กำลังก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังผลิตกว่า  2.5 แสนบาร์เรลต่อวัน  คาดว่าโรงกลั่นนี้จะสร้างเสร็จในปี 2553 หรืออีกสองปีข้างหน้า โดยที่น้ำมันดิบส่วนใหญ่จะมาจากประเทศอิหร่าน และส่งน้ำมันสำเร็จรูปไปประเทศญี่ปุ่น

ทาง ปตท.ได้ศึกษาความเป็นได้ของโครงการท่อส่งน้ำมันแล้วเห็นด้วยที่จะร่วมทุนในโครงการนี้เพื่อให้สงขลาเป็น "คลังส่งออก" (export terminal)

คำถามก็คือว่า เขาจะสร้างท่อส่งน้ำมันจากสงขลาไปรัฐเคดะห์ทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาน้ำมันสงขลาไปกลั่นที่มาเลเซีย  

ครั้นจะเอาน้ำมันสำเร็จรูปมาขายเมืองไทยผ่านทางท่อนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะโรงกลั่นในประเทศไทยก็กลั่นได้มากกว่าปริมาณที่เราบริโภคตั้งเยอะ

ผมสอนนักศึกษาอยู่เสมอว่า นักสิ่งแวดล้อม นักเคลื่อนไหวสีเขียว ควรจะเลือกบริโภคสินค้าที่ผลิตได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ เสื้อผ้าหรือขนมบ้านๆ ทั้งนี้นอกจากจะเพื่อสนับสนุนคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานในการขนส่งอีกด้วย แต่มาเจอกับกิจการผลิตและใช้น้ำมันแล้ว ผมไม่ทราบว่าจะตอบนักศึกษาว่าอย่างไรดีครับนอกจากว่า

มันเป็นทุนนิยมสามานย์จริง ๆ ครับ สามานย์ตั้งแต่การโน้มนาวข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดเลยทีเดียว

           

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
กลไกการควบคุมระบบพลังงานของโลกเรื่องพลังงานเป็นเรื่องใหญ่และเชื่อมโยงกันหลายมิติหลายสาขาวิชา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจกันในช่วงเวลาอันสั้นและจากเอกสารจำนวนจำกัด ในที่นี้ผมจะเริ่มต้นนำเสนอด้วยภาพการ์ตูนและข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเราจะเข้าใจทันทีว่า (๑) ทำไมกลุ่มพ่อค้าพลังงานทั้งระดับประเทศและระดับโลกจึงมุ่งแต่ส่งเสริมการใช้พลังงานฟอสซิลที่ใช้หมดแล้วหมดเลย ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้า (๒) ทำไมพลังงานจากธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดหรือหมดแล้วก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ เช่น พลังงานจากพืช พลังงานลมและแสงอาทิตย์…
ประสาท มีแต้ม
๑ คำนำ: วิธีการศึกษา-วิธีการเคลื่อนไหว ภาพถ่ายข้างบนนี้มาจากภาพยนตร์สารคดีด้านสิ่งแวดล้อม เรื่อง “ความจริงที่ยอมรับได้ยาก (An Inconvenient Truth)” ที่เพิ่งได้รับรางวัลออสการ์ (Oscars award) ไปหลายรางวัลเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐   ในภาพมีเรือหลายลำวาง(เคยจอด)อยู่บนทรายที่มีลักษณะน่าจะเคยเป็นคลองมาก่อน   นอกจากจะสร้างความฉงนใจให้กับผู้ชมว่ามันเป็นไปได้อย่างไรแล้ว    ยังมีประโยคเด็ดที่ได้รับการอ้างถึงอยู่บ่อย ๆ ของกวีชาวอเมริกัน [1] มีความหมายเป็นไทยว่า “เป็นการยากที่จะทำให้ใครสักคนหนึ่งเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง…
ประสาท มีแต้ม
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้สัมภาษณ์หลังจากทราบว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า “พลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นสำหรับการจัดหาพลังงานในระยะยาวของประเทศ ขณะนี้ทั่วโลกก็กำลังกลับมาหาพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน” (มติชน,19 กันยายน 50) ในตอนท้ายรัฐมนตรีท่านนี้ได้ฝากถึงนักการเมืองในอนาคตว่า“อยากฝากถึงพรรคการเมืองต่างๆ ด้วยว่าหากจะมีการกำหนดนโยบายอะไรออกมาขอให้ดูผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และต้องดูถึงผลระยะยาวด้วย เรื่องนิวเคลียร์ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานถึง 14 ปี แต่รัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 ปีเท่านั้น”…