Skip to main content

1. คำนำ

ขณะนี้หลายท่านคงจะรู้สึกกังวลร่วมกันว่า ราคาน้ำมันกำลังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจถึงหรือสูงกว่าเมื่อกลางปี 2551 (ดูกราฟประกอบ-ต่ำสุดเดือนธันวาคม 2551 ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนมาถึงเกือบ 80 ในเดือนสิงหาคมปีนี้)   ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่เรามากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะนึกกันออก

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการ ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล  ซึ่งมีคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน  ได้จัดให้มีการเสวนาและเสนอผลการศึกษาในประเด็นปัญหาพลังงาน โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา  การศึกษาใช้เวลาประมาณ 1 ปี มีประเด็นที่น่าสนใจ 3 อย่างที่เกี่ยวกับกิจการพลังงานในบ้านเรา  แต่เพื่อไม่ให้ประเด็นมันกว้างเกินไป คณะกรรมาธิการฯ ได้ยกประเด็นราคาน้ำมันขึ้นมานำเสนอต่อสาธารณะชนก่อน 

ผมเองได้รับเชิญไปร่วมให้ความเห็นและเสนอแนะ ผมจึงขอนำเรื่องนี้บางส่วนมาเล่าต่อในที่นี้ครับ  ผมถือโอกาสหยิบเอาหัวข้อการเสวนามาเป็นชื่อบทความนี้เสียเลย อย่างไรก็ตามผมคงเล่าได้ในบางประเด็นเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดของการเสวนา

2. ความเป็นธรรมของใคร ?

ในฐานะอาจารย์คณิตศาสตร์  ผมจึงเริ่มตั้งคำถามให้ผู้ฟังช่วยกันคิดว่าเมื่อมองความเป็นธรรมนั้นเราคิดถึง "ความเป็นธรรมของใคร"   คงไม่ใช่หมายถึงระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการเพียงคู่เดียวเท่านั้น

ในรายงานผลการศึกษาของคณะฯ ระบุว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้ส่งออกทั้งน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบรวมกันปีละเกือบ 3 ล้านบาท มากกว่ามูลค่าข้าวส่งออกที่เป็นสินค้าหลักด้านการเกษตรของประเทศเสียอีก  ในปี 2551 ร้อยละ 22 ของน้ำมันสำเร็จรูปจากโรงกลั่นในบ้านเราถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ  ขณะเดียวกันร้อยละ 20 ของน้ำมันดิบที่ขุดได้ในบ้านเราก็ถูกส่งออกเช่นกัน

เมื่อเป็นดั่งนี้ ผมเริ่มเท้าความว่า ตอนผมเป็นเด็กได้อ่านหนังสือเรียนพบว่า
"ประเทศไทยส่งออกไม้สัก ไม้เต็ง ฯลฯ เป็นอันดับหนึ่ง แต่แทบไม่มีป่าไม้ในประเทศให้คนรุ่นผมได้เห็นแล้ว"

ผมย้อนไปว่า  "เมื่อ 30 ปีที่แล้วประเทศไทยส่งออกแร่ดีบุกได้มากเป็นอันดับสองของโลก เราขายแร่แทนตาลัมที่มีราคาแพงมากและเป็นยุทธปัจจัยไปในราคาถูกราวกับเศษดิน ทุกวันนี้เราไม่มีดีบุกเหลือให้ลูกหลานแล้ว"

มาวันนี้  เราพบแหล่งปิโตรเลียมซึ่งได้แก่น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลคิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านล้านบาท

หรือคิดเป็นมูลค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยได้ถึง 50 ปี  นี่เป็นมรดกที่สะสมกันมานับล้านปี  ใจคอเราคิดจะขุดให้หมดภายใน 10 - 20 ปีข้างหน้านี้หรือ   เราไม่คิดจะเก็บไว้ให้ลูกหลานของเราได้ใช้บ้างเลยเชียวหรือ

หรือถ้าอยากจะขุดให้หมดจริงๆ  เราก็น่าจะเก็บภาษีน้ำมันเพื่อมาสร้างระบบขนส่งมวลชนเช่น รถไฟฟ้าไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้บ้างจะดีไหม

ผมสรุปว่า "ถ้าขืนยังขุดและใช้น้ำมันกันอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้ จะไม่เป็นธรรมกับคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน"

นั่นเป็นมิติของความเป็นธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งในประเทศเดียวกัน  ผมเรียกความเป็นธรรมนี้โดยรวมว่า ความมั่นคงด้านพลังงาน (energy security) ซึ่งต้องมองกันยาว ๆ ไม่ใช่แค่ความมั่นคงเป็นรายเดือน รายปี หรือสิบปีเท่านั้น

นอกจากนี้ ผมได้กล่าวถึงความเป็นธรรมอีก 2  ประการ คือ ความเป็นธรรมต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปตรงกันว่า สาเหตุที่ทำให้เกิด "สภาวะโลกร้อน" นั้น  ประมาณ 70 - 80 %  มาจาการใช้พลังงานฟอสซิล(หรือซากพืชซากสัตว์) ของมนุษย์นั่นเอง   สภาวะโลกร้อนได้นำภัยพิบัติมาสู่คนรุ่นเรามากขนาดไหนเราพอจะประเมินกันได้    แต่ในอนาคตภัยพิบัติเหล่านี้จะรุนแรงอย่างที่คนธรรมดา ๆ คาดไม่ถึง

ดังนั้น  การจะสร้างความเป็นธรรมต่อสภาพแวดล้อมก็คือ การลดใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งมีวิธีการลดได้ 3 ทางคือ หนึ่งหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ถ้าพูดถึงน้ำมันก็ต้องหันไปหาน้ำมันจากพืชให้มากขึ้น สองเก็บภาษีน้ำมันให้มากขึ้นเพื่อให้คนใช้น้อยลง จะเรียกภาษีชนิดนี้ว่าภาษีสิ่งแวดล้อม น้ำมันพืชไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต้องเก็บภาษี น้ำมันจากฟอสซิลก็เก็บภาษีให้มากหน่อย เพื่อให้น้ำมันพืช เช่น ไบโอดีเซลสามารถแข่งขันได้  และ สามใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความเป็นธรรมประการสุดท้าย คือความเป็นธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ  ผมพูดถึงอย่างกว้าง ๆ ว่า เราต้องสนใจการสร้างงานและกระจายรายได้ที่เป็นธรรมด้วย ขณะเดียวกันพ่อค้าน้ำมันก็ต้องมีกลไกมาควบคุมไม่ให้ค้ากำไรเกินควร

ผมได้ยกตัวเลขให้เห็นว่า  เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ( พ.ศ. 2513) ประเทศไทยเรานำเข้าพลังงานเพียง 1 % ของรายได้ประชาชาติเท่านั้น  แต่พอถึงปี 2536 เราใช้พลังงานคิดเป็นมูลค่าถึง 1 ใน 10 ของรายได้ประชาชาติ  ล่าสุดในปี 2551 พบว่า "รายได้ทุก ๆ 100 บาทที่คนไทยหามาได้ ต้องจ่ายเป็นค่าพลังงานถึงเกือบ 20 บาท หรือประมาณ 1 ใน 5 ของรายได้ต้องจ่ายไปเป็นค่าพลังงาน"

ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไขอะไรกันเลย ในอีก 15 ปีข้างหน้า เราจะต้องจ่ายค่าพลังงานเป็นเท่าใด  จะเป็น 2 ใน 5 ไหม?

ผมได้คุยกับนักธุรกิจระดับพันล้านบาทท่านหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านว่า "ธุรกิจใดที่มีค่าขนส่งเกิน 20% ธุรกิจนั้นต้องเจ๊งแน่ ๆ "    

ผมฟังแล้วรู้สึกเสียวกับ "ธุรกิจบริษัทประเทศไทย"

ถ้าเรากล่าวเฉพาะน้ำมันและไฟฟ้ารวมทั้งการจ้างงาน การกระจายรายได้ พบว่ามีสัญญาณอันตรายเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว ดังตารางข้างล่างนี้

  


ผมได้เรียนต่อวงเสวนาที่มีคนฟังประมาณ 100 คนว่า "ปัจจุบันคนในวัยทำงานมีประมาณ 34 ล้านคน แต่อยู่ในภาคไฟฟ้า น้ำมัน และปั๊มน้ำมัน ประมาณ 3.4 แสนคน หรือประมาณ 1% ของแรงงานทั้งหมด แต่คนเพียงร้อยละ 1  กลับมีส่วนเกี่ยวกับรายได้ถึงร้อยละ 15 ของรายได้ประชาชาติ"

ในเรื่องคนทำงาน 1% ที่มีรายได้ถึง 15 % ของรายได้ประชาชาตินี้  ผมได้รวมเด็กปั๊มประมาณ 2 แสนคนเข้าไปใน 1% นี้แล้ว เด็กปั๊มเหล่านี้มีรายได้แค่เพียงเดือนละ 4-5 พันบาทเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าคิดให้ละเอียดจริงๆ ยิ่งน่ากลัวกว่าที่ได้กล่าวมาแล้ว

นอกจากความเป็นธรรมใน 3 ประการหลัก คือ (1) ความเป็นธรรมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (2)  ความมั่นคงด้านพลังงานและ (3) ความเป็นธรรมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ  ผมยังได้เสนอเรื่องความเป็นธรรมในการค้าขาย ทั้งการกลั่นและค่าการตลาดด้วย

3. ความเป็นธรรมเรื่องค่าการกลั่น

ผมได้เรียนต่อวงเสวนาว่า  ผมเองเป็นนักคณิตศาสตร์ ผมไม่ทราบหรอกว่า ค่าการกลั่นของโรงกลั่น (ที่มีอยู่ 7 โรงในประเทศไทย แต่ 85%ของกำลังการผลิตเป็นโรงกลั่นในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด) นั้นถูกหรือแพงเกินไปหรือไม่ แต่ผมใช้วิธีการเปรียบกับโรงกลั่นของประเทศอื่น ๆ  พบว่า ค่าการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศไทยสูงกว่าของกลุ่มประเทศยุโรป และสิงคโปร์เยอะเลย

ในขณะ ที่ (ปี 2550) ของประเทศอื่นอยู่ที่ประมาณ 5.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ประมาณ 1.17 บาทต่อลิตร)  แต่โรงกลั่นในประเทศไทยคิดกับคนไทยในราคาประมาณ 9.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ประมาณ 2.03 บาทต่อลิตร แพงไปถึง 86 สตางค์ต่อลิตร)

ในแต่ละปี คนไทยบริโภคน้ำมันประมาณ 4 หมื่นล้านลิตร  ดังนั้นส่วนที่คนไทยต้องแบกภาระค่าการกลั่นเกินที่ควรจะเป็นไปถึง 3.4 หมื่นล้านบาท

ไม่น้อยเลยครับ ถ้าเรานำมูลค่าส่วนเกินนี้ไปสร้างรถไฟฟ้า ระบบขนส่งมวลชนไว้ให้คนรุ่นหลังใช้ก็ได้ตั้งเยอะต่อปี

อนึ่ง กระทรวงพลังงานของไทยเราเคยนำเสนอข้อมูลค่าการกลั่นเฉลี่ยมาตลอด แต่นับจากปลายเดือนธันวาคม 2551 เป็นต้นมา กลับไม่มีข้อมูลนี้อีกเลย โดยไม่ทราบเหตุผลใด ๆ

การที่ผู้ประกอบการค้าไม่นำเสนอข้อมูลที่จำเป็นที่สะดวกต่อการทำความเข้าใจและมีความถูกต้องกับผู้บริโภค คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก  ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแน่นอน

คราวนี้ลองมาพิจารณาค่าการกลั่นของโรงกลั่นไทยกันบ้างครับ

เนื่องจากกระทรวงพลังงานไม่ยอมนำเสนอค่าการกลั่นเฉลี่ย  ผมจึงนำราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันสองชนิด คือ ดีเซลหมุนเร็ว (ที่คนใช้มากที่สุด) และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มาเขียนกราฟพร้อมกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของกลุ่มประเทศโอเปก  ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ถึง 5 สิงหาคม 2552 (ข้อมูลที่หายไปคือข้อมูลที่ไม่มีการนำเสนอ)

ผมทราบดีครับว่า การพิจารณาค่าการกลั่นต้องพิจารณากันตลอดทั้งปี  แต่ในที่นี้ผมต้องการชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติเพียงบางช่วงเท่านั้น (คือในกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียว)

 

จากกราฟ โดยส่วนมาก เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นจะไปทำนองเดียวกัน แต่ในกรอบดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ราคาน้ำมันดิบลดลงติดต่อกัน 2 วัน แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปกลับเพิ่มขึ้นติดต่อกันสองวัน

คำถามก็คือ ทำไม? และจะเกิดขึ้นอีกไหม? ไม่มีใครทราบ
เราอาจจะถามต่อไปได้อีกว่า รัฐบาลมีกลไกใดมาควบคุมราคาให้เกิดความเป็นธรรม
คำตอบคือ "ไม่มีในทางปฏิบัติ"

แต่ในทางทฤษฎี รัฐบาลได้ตั้ง "คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน"   มาจำนวน 7 คน แต่ละคนกินเงินเดือน ๆ ละ 2 ถึง 2.5 แสนบาท พร้อมค่าใช้จ่ายอีกไม่เกิน 25% ของเงินเดือน

ในจำนวนกรรมการ 7 ท่านนี้ บางท่านเคยเป็นบอร์ดของ ปตท. มาก่อน บางท่านเคยเป็นเลขานุการคณะทำงานแปรรูป ปตท. และบางท่านก็มีลูกเป็นฝ่ายวางแผนให้บริษัท ปตท.

ข้าราชการระดับสูงหลายคนที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนได้เป็นบอร์ดของบริษัทค้าน้ำมัน แต่ผลประโยชน์ที่บริษัทค้าน้ำมันยื่นให้กลับสูงกว่าเงินเดือนหลายเท่าตัว

แล้วข้าราชการเหล่านี้จะรักษาผลประโยชน์ให้ใคร ?

นี่คือความไม่เป็นธรรมที่คณะกรรมาธิการ ฯ วุฒิสภาตั้งคำถาม

ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง แต่บทความชักจะยาวเกินไปแล้ว เอาไว้คราวต่อไปนะครับ 

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ว่า “ท่านคิดว่าสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุด” ผู้ถามคงจะคาดหวังว่าไอน์สไตน์น่าจะตอบว่า “ระเบิดนิวเคลียร์” เพราะเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่ไอน์สไตน์กลับตอบว่า “สูตรดอกเบี้ยทบต้น”
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2552 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ในงานนี้ได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากประธานศูนย์ศึกษาประเทศภูฎาน คือท่าน Dasho Karma Ura
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ “รักเจ้าจึงปลูก” เป็นชื่อโครงการที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กำลังครุ่นคิดเพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ผมเองได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มา 2 ตอนแล้ว
ประสาท มีแต้ม
  1. คำนำ       ภาพที่เห็นคือบริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จังหวัดสงขลา (ถ่ายเมื่อพฤศจิกายน 2552) หาดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากของชาวเมืองสงขลา อยู่ทางตอนใต้ของหาดสมิหลาที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีประมาณหนึ่งกิโลเมตร สิ่งที่เห็นในภาพที่มีถุงทรายสีขาว ยางรถยนต์เก่ายึดด้วยไม้หลักปักทราย รวมทั้งรูปต้นสนล้ม คงสะท้อนทั้งความรุนแรงของปัญหาและความพยายามแก้ปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี
ประสาท มีแต้ม
1. ความเดิม ในตอนที่ 1 ผมได้นำข้อมูลที่มาจากงานวิจัยของกระทรวงศึกษาธิการที่พบว่า นักเรียนทุกระดับชั้นของประเทศไทย ทั้งระดับ ป.6 , ม.3 และมัธยมปลายมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยวิชาที่สอบได้คะแนนน้อยที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์ ได้เพียงร้อยละ 29.6 เท่านั้น ในตอนที่ 2 นี้ ผมจะกล่าวถึงปัญหาที่ได้ตั้งไว้ในชื่อบทความ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณภาพการศึกษาเราตกต่ำ นอกจากนี้ ผมได้นำเสนอความคิดเห็นและความพยายามของผู้บริหารระดับสูงสุดของมหาวิทยาลัยด้วย
ประสาท มีแต้ม
๑. คำนำ ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่าน “ประชาไท” ตามตรงว่า ผมใช้เวลานานมากในการคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี เขียนทิ้งเขียนขว้างไปหลายชิ้น ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเพราะว่าผมสับสนในตัวเอง ไม่ทราบว่าจะนำเสนออะไรดีให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง
ประสาท มีแต้ม
๑. ปัญหาในภาพเล็ก ที่ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำลังคิดทำโครงการที่จะพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากรายวิชาและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทำกันอยู่ตามปกติแล้ว โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ชื่อโครงการก็ค่อนข้างจะเห็นตรงกันคือ “โครงการรักเจ้าจึงปลูก” ที่มาจากเนื้อเพลง “อิ่มอุ่น” ของ ศุ บุญเลี้ยง
ประสาท มีแต้ม
ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีวิชาบังคับให้นักศึกษาต้องเรียนอยู่วิชาหนึ่งจำนวน 3 หน่วยกิต ชื่อว่า “วิชาวิทยาเขตสีเขียว (greening the campus)” วัตถุประสงค์หลักของวิชานี้ก็คือ ให้นักศึกษาลุกขึ้นมาศึกษาปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาสาธารณะที่อยู่ในวิทยาเขตของตนเอง แต่โดยมากมักจะเน้นไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาขวดน้ำพลาสติกที่มีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ปัญหาการประหยัดพลังงาน และกระดาษ เป็นต้น
ประสาท มีแต้ม
ทั้ง ๆ ที่ประเทศเรากำลังประสบกับวิกฤติหลายด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น แต่สื่อกระแสหลักก็ให้ความสำคัญกับข่าวความขัดแย้งในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีอะไรใหม่สร้างสรรค์ให้กับสังคม
ประสาท มีแต้ม
ในขณะที่กระแสสังคมส่งสัญญาณไม่พอใจกับราคาน้ำมันที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ลดการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของ ดีเซล ลิตรละ 2 บาท
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำขณะนี้หลายท่านคงจะรู้สึกกังวลร่วมกันว่า ราคาน้ำมันกำลังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจถึงหรือสูงกว่าเมื่อกลางปี 2551 (ดูกราฟประกอบ-ต่ำสุดเดือนธันวาคม 2551 ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนมาถึงเกือบ 80 ในเดือนสิงหาคมปีนี้)   ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่เรามากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะนึกกันออก
ประสาท มีแต้ม
ผมได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อ"ชี้แจงแสดงความคิดเห็น" เรื่อง ค่าการกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อ 1 กรกฎาคม 52 คนนอกที่นอกจากผมแล้วก็มีอีก 6 -7 ท่าน ได้แก่ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนบริษัทบางจาก, บริษัท ปตท. นายกสมาคมผู้ค้าน้ำมันแห่งประเทศไทย, คุณรสนา โตสิตระกูล และนักวิชาการปิโตรเลียม เป็นต้น