Skip to main content

เรียนบรรดาอุลตร้ารอยัลลิสต์ทั้งหลาย

ผมรู้สึกแปลกใจและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้อ่านข่าวทราบว่าพวกท่านนับร้อยได้ไปชุมนุมหน้าสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านทูตอเมริกาซึ่งออกมาวิพากษ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแถมยังมีการชุมนุมในที่อื่นๆ ตามต่างจังหวัด มันเป็นสิ่งที่ดีและเหนือจริงที่พวกคุณใช้สิทธิในการชุมนุมห้าคนขึ้นไปทางการเมืองในขณะที่มีการห้ามมิให้มีการชุมนุมทางการเมืองของคนห้าคนหรือมากกว่านั้นโดยเผด็จการทหาร คสช. แถมพวกคุณยังได้ใช้เสรีภาพในการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้มีการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของผู้อื่นผ่านการสนับสนุนกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (หรือ ม.112) อีก

ในขณะที่ผมเคารพความเชื่อทางการเมืองและอุดมการณ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของพวกคุณ ผมรู้สึกผิดหวังที่หลวงพ่อพุทธอิสระผู้นำขบวนผู้ชุมนุมในวันที่ 27 พ.ย. หน้าสถานทูตอเมริกาได้พูดเหมารวมแทนคนไทยทุกคน


ผมไม่มีปัญหากับการที่มีผู้ชุมนุมไปถือป้ายเป็นภาษาอังกฤษว่า: ‘คนไทยไม่ใช่ทาสอเมริกา’ แล้วจริงๆ คนไทยก็มิควรเป็นทาสผู้ใด หรือถือป้ายบอกให้โอบามา ‘ไปเย็ดกับตัวเอง’ "Go fuck yourself" 

(คนที่ถือป้ายบอกให้โอบามา "Go fuck yourself" นั้นย้อนแย้งมาก เพราะหากใครใช้คำหยาบกับประมุขรัฐของตน คงต้องการเห็นคนที่ใช้โดน ม.112 และติดคุกยาว) แต่การที่ท่านพุทธอิสระบอกสื่อว่า ‘สถาบันกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยทุกคนพร้อมจะปกป้องด้วยชีวิต’ ตามที่ผมได้อ่านรายงานข่าวใน นสพ. Bangkok Post นั้น ผมต้องขอบอกว่า คำว่า ‘คนไทยทุกคน’ เป็นคำที่กว้างและเหมารวมอย่างที่ไม่มีพื้นที่ให้กับความหลากหลายทางความคิดของพลเมืองไทย

ผู้นำของพวกท่านมิทราบหรือลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อปี 2555 หรือสามปีที่แล้ว ยังมีพลเมืองไทย 39,185 คนร่วมกันลงชื่อเพื่อพยายามให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112

ผมจะไม่มีวันพยายามพูดแทนบรรดาอุลตร้ารอยัลลิสต์อย่างท่าน และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากผมอย่างพวกท่านจะไม่พยายามพูดแทนผม เพราะผมตระหนักดีว่ามีคนไทยจำนวนมิน้อยที่ถือว่ากฎหมาย มาตรา 112 มิเพียงมีลักษณะย้อนยุค รุนแรง หากยังมีโทษหนักแบบที่เรียกได้ว่าป่าเถื่อนในสายตาพวกเขา เพราะโทษสูงสุดของการพูดเขียนข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับเจ้าหรือวิพากษ์เจ้า คือการจำคุก 15 ปี

ไทยนั้นไม่ต่างจากสังคมใหญ่อันสลับซับซ้อนอื่นๆในแง่ที่วิถีไทยมีได้มีเพียงแค่วิถีเดียว หากความเป็นไทยนั้นหลากหลาย ความรักชาติของพวกท่านอาจมุ่งเน้นไปยังสถาบันฯ หลักๆ จำนวนหนึ่ง แต่ความรักในมาตุภูมิของข้าพเจ้าคือการรังสรรค์เสรีภาพและความเสมอภาคของทุกๆ คนในสังคม

เมื่อใดเราเห็นต่างกัน เราควรที่จะถกเถียงโต้แย้งแลกเปลี่ยนความเห็นโดยมุ่งที่จะหาจุดยืนร่วมและหาข้อยุติแบบพบกันครึ่งทาง แทนที่จะเสแสร้งว่าเราไม่มีความเห็นอันแตกต่าง

น่าเสียดายที่ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่คิดว่าสังคมไทยไร้ข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของ มาตรา 112 ในศตวรรษที่ 21 ที่อ้างว่าอยากเป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพ และทึกทักเหมารวมไปว่าทุกคนเห็นด้วย

ถ้าข้อเถียงเรื่อง ม.112 จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะอ้างอย่างไร หรือไม่ว่าทูตต่างชาติจะเอ่ยว่ามีปัญหาหรือไม่ จนกว่าจะมีข้อสรุปที่คนทั้งสังคม หรือคนเกือบทั้งหมดยอมรับได้จริงๆ

สิ่งที่ทูตต่างชาติอย่างทูตเดวี่ส์แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่าไม่มีผู้ใดที่แสดงความเห็นอย่างสันติต่อเรื่องเจ้า สมควรที่จะต้องติดคุก ตอนไปพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เป็นเพียงมุมมองที่มีอยู่มิเพียงในหมู่ชาวต่างชาติที่มีจิตใจก้าวหน้าเป็นเสรีชน หากในหมู่คนไทยที่รักเสรีภาพจำนวนมิน้อยที่อยากเห็นสังคมไทยมีเสรีภาพมากกว่าในปัจจุบันเช่นเดียวกัน พวกเราอยากมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นในที่สาธารณะอย่างเท่าทันต่อสถาบันฯ อันสำคัญโดยปราศจากความกลัว โดยมิต้องมานั่งซุบซิบนินทา โดยที่สื่อมิต้องเซ็นเซอร์ตนเองจนกระทั่งข้อมูลที่เขียนหรือรายงานเผยแพร่ได้มีแต่ข้อมูลด้านบวกอย่างมิรู้จักพอเพียง อย่างไรก็ตาม การด่าทอแต่ทูตอเมริกา โดยเสนอเป็นไทยสู้กับอเมริกา อาจเบี่ยงเบนให้เข้าใจผิดได้ว่าสังคมไทยไม่มีการถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของกฎหมาย ม.112 แล้ว

เป็นที่น่าสลดใจยิ่งที่คนไทยจำนวนหนึ่งพยายามทำให้การวิพากษ์กฎหมายห้ามวิพากษ์เจ้า อย่าง ม.112 กลายเป็นสิ่งต้องห้ามไปด้วย พวกเขาสับสนแยกไม่ออกระหว่างการวิพากษ์เจ้ากับการวิพากษ์กฎหมายห้ามวิพากษ์เจ้า และเหมารวมว่าคนที่วิพากษ์ไม่เอากฎหมาย ม.112 ต้องเป็นพวกล้มเจ้า ไม่ต่างจากการบอกว่าพวกต่อต้านโทษประหารชีวิตต้องเป็นพวกสนับสนุนอาชญากรรมรุนแรง ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ต่อต้านโทษประหารชีวิตเพราะเชื่อในสิทธิในการมีชีวิตและการให้โอกาสอาชญากรกลับเนื้อกลับตัว

เราอย่ามองอะไรเป็นขาวเป็นดำเลย เราจงอย่าหลอกตนเองต่อไปอีกจนเป็นที่ตลกขบขันของชาวโลกว่าเรามีฉันทามติกันแล้วเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในเมื่อความจริงมันโจ่งแจ้งทุกครั้งที่สื่อต่างชาติสัมภาษณ์นักโทษทางมโนสำนึก (นักโทษ ม.112) หรือคนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้และรายงานออกไป ผมคิดว่าเราควรเห็นแก่ลูกหลานไทยและพยายามหาทางออกสำหรับความเห็นต่างอย่างมีสติ ศิวิไลซ์ มีเหตุผล และเป็นมิตร

เรามิควรมองคนเห็นต่างเรื่องนี้เป็นศัตรูอย่างไม่มีวันเผาผี หรือพ่นน้ำลายแห่งความเกลียดชังลงท่วมโซเชียลมีเดีย

ขอให้แสงสว่างแห่งปัญญาจงนำทาง

ด้วยความปราถนาดีต่อทุกท่าน และต่อสังคมไทย

ประวิตร โรจนพฤกษ์

6 ธ.ค. 2558


ป.ล. ผมห่วงทูตอเมริกา เพราะท่านเคยดูแลเรื่องเกาหลีเหนือมาก่อน คงไม่มีอะไรทำให้ท่านเซอร์ไพรส์ได้ (หรือผมอาจคาดผิดก็ได้!)

บังเอิญเมื่อไม่กี่วันก่อนมีการชุมนุม นักการทูตอเมริกาสองคนมาขอพบผมเพื่อขอความเห็นเรื่องเสรีภาพสื่อและเสรีภาพการแสดงออกเพื่อไปเขียนรายงาน และเจ้าหน้าที่ก็บังเอิญถามผมว่าสังคมไทยมีอุลตร้ารอยัลลิสต์มากน้อยแค่ไหน ผมตอบว่าคิดเป็นสัดส่วนก็อาจไม่มาก แต่มากพอที่จะบุกยึดสถานทูตภายในไม่เวลาเพียงไม่กี่นาที

 

จดหมายฉบับนี้ผู้เขียนถอดความปรับปรุงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ลงในเว็บ khaosodenglish.com วันที่ 6 ธค. ภายใต้ชื่อ Open Letter to Ultra-Royalists http://www.khaosodenglish.com/detail.php?newsid=1449378769

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
หนึ่งในเครื่องมือหลักของการยึดอำนาจของคณะรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หาใช้อาวุธสงครามเพียงอย่างเดียวไม่ หากรวมถึงการใช้ภาษาที่ก่อให้เกิดความพร่ามัวหรือแม้กระทั่งการมองความจริงแบบที่คณะรัฐประหารหรือที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ต้องการ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
บันทึกนี้ขออุทิศแด่ทุกๆท่านที่รัก เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย 
ประวิตร โรจนพฤกษ์
  เรื่องปัญหาการเซ็นเซอร์ เหมือนเป็นหัวข้อที่ไม่ต้องอธิบายว่าเป็นปัญหาถ่วงความเจริญทางการรับรู้และสติปัญญาของสังคมอย่างไร
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ไม่ว่าคุณจะเอา ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ คุณควรออกไปใช้สิทธิวันพรุ่งนี้ เพราะมันได้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเลือกตั้งกับลากตั้งโดยปริยาย
ประวิตร โรจนพฤกษ์
 วิกฤติการเมืองปัจจุบันอาจทำให้หลายคนหน้ามืดตามัวตกหล่มความเกลียดชัง แต่สำหรับผม ผมถือว่ามันช่วยให้ผมได้คิดและเข้าใจสังคมไทยดีขึ้น
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ความหมายของสัญลักษณ์และชื่อกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่ดิ้นได้ และในกรณีของการโบกธงชาติ เป่านกหวีดและเรียกขานตนเองของม็อบ กปปส. ว่า 'มวลมหาประชาชน' ก็เช่นกัน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
เราทุกคนคงจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองอย่างสันติและสร้างสรรค์ เคารพเสียงทุกเสียง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่และเคารพรับฟังเสียงส่วนน้อย