Skip to main content

อ่านแรก (1)

 

ข้าพเจ้าจำได้ ตู้ไม้กรุกระจกใบย่อมใต้หิ้งพระบ้านยาย นอกจากข้าพเจ้ากับน้องจะยึดประตูของมันคนละบาน ใช้ปลายเท้าจิกลงบนกรอบไม้ชิ้นบางที่ยึดแผ่นกระจกด้านล่าง ขณะสองมือเหนี่ยวกรอบบนเท้าข้างหนึ่งถีบพื้นกระดาน แนบร่างกับแผ่นกระจก เหวี่ยงประตูเข้า ๆออกๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตู้หลังนั้น ใบเดียวกับที่ตั้งอยู่ข้างตัวยามนี้ อัดแน่นด้วยหนังสือ ยัดทะนานความคิดความรู้สึก

\\/--break--\>

ในตอนนั้น ข้าพเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวกระเปี๊ยกของหมู่บ้านไกลปืนเที่ยง ขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกมีขุนเขาทอดยาวเป็นพืด ขวางกั้นเมืองพม่า พวกของกินหนีไม่พ้นผักหญ้า มะพร้าว อ้อย กล้วย ส่วนของเล่นก็เป็นของบ้านป่า อาทิ กะโหลกกะลา ก้านกล้วย เม็ดมะขาม เศษกระเบื้องดินขอที่แตกหล่นมาจากหลังคา ปิดเทอม เมื่อน้าชายกลับมาจากวิทยาลัย เขาทำชิงช้าไม้ไผ่ให้เราแกว่งไกวกลางโถง แล้วพอเขากลับไป เราก็ใช้ตู้เก็บหนังสือปกแดง ปกธรรมดาของเขาเป็นของเล่น ชั้นล่าง ๆ นั้นเป็นพวกนิตยสารเล่มโต ข้าพเจ้าต้องกางกับพื้นจึงจะอ่านสะดวก พวกฟ้าเมืองทอง-เมืองไทย หรือบางกอก โชคดีที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเป็นตั้งแต่อายุน้อย ๆ นอกเหนือจากเล่นกับน้อง เหวี่ยงประตูตู้ให้แม่ด่า ก็ขยับมาอ่านหนังสือแทน เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นง่วนอยู่คนเดียว ส่วนน้องชายต้องรออีกหลายปีจึงจะตามทัน

เหมือนเด็กที่หลงใหลการอ่านทุกคนนั่นล่ะ ไม่อาจทนมองกระดาษที่มีตัวอักษรพิมพ์อยู่เฉยได้ ต้องฉวย ต้องคว้ามาอ่าน ขอให้มีประโยคผ่านหัวก็แล้วกัน ขอให้มีความคิดมนุษย์เฉียดกรายมา ไม่ว่าจะเป็นอะไร สนุกหรือไม่ก็ตาม แม้ว่ากระดาษนั้นจะถูกฉีกมาเพียงเสี้ยว เปื้อนน้ำมันทอดไก่ ทอดกล้วยแขกจนอักษรบางตัวเลือนหาย แต่เด็กพรรค์อย่างนั้นก็ไม่อนาทรร้อนใจ จึงไม่แปลกอันใดที่ข้าพเจ้าจะอ่านหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในตู้จนหมดเกลี้ยง ในบรรดาเจ็ดแปดสิบเล่มที่อ่าน ที่ติดตรึงฉงนฉงายค้างคาใจจนเติบใหญ่ จำได้มีอยู่
2 เรื่อง บันทึกของมาริลีน มอนโร กับข้อเขียนมโนสาเร่ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์

อายุ
6-7 ขวบเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจหรอก เรื่องที่ดาราหญิงชาวอเมริกันชอบใส่ชุดนอนหรือสวมเสื้อคลุมบาง ๆ อยู่ตลอดเวลา เดินไปเดินมา ดื่มเหล้าแล้วก็กินยานอนหลับ ข้าพเจ้ารู้จักแต่นิทาน เรื่องสำหรับเด็กในนิตยสารกุลสตรีของมารดา กับนวนิยายผี โป๊ หรือบู๊ล้างผลาญในนิตยสารบางกอก คุ้นเคยกับเรื่องแต่งของก้องหล้า สุรไกร,ต๊ะ ท่าอิฐ หรือเรื่องอินเดียนเผ่าอาปาเช่ผู้เก่งกล้า ถลกหนังหัวคนขาว ทว่า มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ไม่อาจนึกชื่อได้ ซึ่งบอกชื่อคนเป็นลายเซ็นบนปกกลับทิ้งรอยกังขาคาใจ พลิกเปิดอยู่หลายรอบทีเดียว ทิ้งไว้ ผัดผ่อนก็แล้ว ในที่สุดก็กลับมาอ่านอยู่ดี ศาลาคนเศร้ากับดาราภาพยนตร์ที่ร้านเสริมสวยก็เที่ยวตระเวนอ่านของเขาจนหมดแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาพึ่งหนังสือที่อ่านค้างอยู่ไม่กี่เล่มในตู้ใบเก่า

จำได้ว่า เป็นเรื่องผักริมรั้ว ดินฟ้าอากาศสัพเพเหระ เรื่องถนนซอย ที่ทอดผ่านบ้านเช่าหลังน้อย มีผู้คนผ่านไปมาบ้าง แต่ไม่เล่าละเอียด เหมือนจะเป็นเรื่องแต่ก็ไม่เป็นเรื่อง แถมสั้นแค่หน้าสองหน้า ขนาดหนังสือเล็กเพียงครึ่งของไซต์ปัจจุบัน
(เหมือนใครเอามีดกรีดครึ่งตามยาว) ข้าพเจ้างุนงง แต่ก็อดทนอ่าน เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะสนุก ผู้เขียนที่ปรากฏตัว เป็น ‘ผม’ อยู่ตามบรรทัดต่างๆ เมื่อไหร่จะออกเดินทาง ก่อวีรกรรม หรือเผชิญสิ่งโน้นสิ่งนี้เสียที หารู้ไม่ว่า มันเป็นรวมเล่มสกู๊ปจากหนังสือพิมพ์เล่มใดเล่มหนึ่งของเขา คิดไปประสาเด็กซึ่งขาดความรู้ว่า หนังสือแบบเป็นเล่มๆ ต้องเป็นนิยายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนพวกคอลัมน์ในนิตยสาร แม้จะเคยอ่านบ้างแต่ก็ชอบผ่านข้าม คอยอ่านแต่นิยมนิยายกับเรื่องสั้นเท่านั้น อนิจจา นั่นล่ะ อ่านแรกของข้าพเจ้า กับนักประพันธ์ต้นแบบผู้ติดปีกให้ตัวอักษร 'รงค์ วงษ์สวรรค์...

 

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…