Skip to main content

เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าการชุมนุมแบบเอาเป็นเอาตายจนบ้านเมืองฉิบหายวายวอด ก็เพื่อจะได้นายกรัฐมนตรีเป็นกลางและจัดตั้งสภาประชาชนตามความต้องการของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยอาศัยมาตรา 7 รัฐธรรมนูญ 2550 สร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลรักษาการณ์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง จนเกิดสุญญากาศทางการเมือง แล้วให้รองประธานวุฒิสภาเป็นผู้เสนอนายกรัฐมนตรีคนกลางให้กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง

            นายกรัฐมนตรีเป็นกลางตามความต้องการของ กปปส.นั้น ในความเป็นจริงก็คือนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นตัวแทนแห่งมวลมหาประชาชน ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากรัฐทรราชที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยมีนายกรัฐมนตรีแบบนี้ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากการทำรัฐประหารทั้งสิ้น เช่น นายควง อภัยวงศ์ นายพจน์ สารสิน นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายอานันท์ ปันยารชุน ฯลฯ

            หากนับรวมหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจแล้วเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ในเมืองไทยนั้นมีมากมายอาทิเช่น สฤษดิ์ ธนรัชต์ ถนอม กิตติขจร สุจินดา คราประยูร คนเหล่านี้มักอ้างว่าเป็นกลาง เป็นคนดี มีศีลธรรม รักชาติ รักราชบัลลังก์ แต่แล้วคนจำพวกนี้มักลงเอยด้วยความเป็นเผด็จการ ทุจริต คอรัปชั่น ปล้นบ้านกินเมืองกันอย่างเอิกเกริกมาแล้วทั้งสิ้น

            ประชาชนคนไทยเคยลุกขึ้นสู้ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เรียกร้องรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประชาชนลุกขึ้นสู้ ระหว่าง 15-20 พฤษภาคม 2535 เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ในเวลาต่อมาจึงเป็นข้อกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นหลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วในปี 2557 กลุ่มกปปส.กลับคลั่งไคล้นายกรัฐมนตรีเป็นกลางหรือนายกพระราชทาน อันเป็นการหมุนกลับช่วงเวลาไปสู่โบราณกาลแห่งความป่าเถื่อนในยุคมืดมนทางการเมืองกันอีกครั้ง

            ทั้งสองเหตุการณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประชาชนคนไทยได้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ ตายห่ากันไปมากมายด้วยปรารถนาในเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่มาในปีพ.ศ.2557 มันกลับตาลปัตรจากขาวเป็นดำ จากหน้ามือซ้ายเป็นหลังตีนขวา เมื่อมีนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ออกมาโหยหานายกรัฐมนตรีเป็นกลางที่มาโดยการแต่งตั้งจากกลุ่มคนชนชั้นสูงไม่กี่คน

            ที่มันทุเรศไปกว่านี้ก็คือ พวกนักวิชาการขยะหลายคนที่ออกมาพูดพร่ำสนับสนุนให้มีนายกรัฐมนตรีเป็นกลาง อันเป็นการบิดเบือนความรู้และความจริงทางวิชาการ นับเป็นความตกต่ำในแวดวงปัญญาชนในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง

            แม้แต่การตีความมาตรา 7 รัฐธรรมนูญ 2550 ยังอุตส่าห์ตะแบงตีความข้างๆคูๆให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนกลางซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากสภาประชาชน บนหลักการที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ดังนั้นการปฏิรูปของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แท้ที่จริงแล้ว เป็นการปฏิรูปให้บ้านเมืองถอยหลังลงคลอง

            การใช้ตุลาการภิวัฒน์ตัดสินอรรถคดีการเมืองแบบสุกเอาเผากิน เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ปูทางไปสู่นายกรัฐมนตรีเป็นกลาง จะทำให้ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระทั้งหมดสูญเสียความน่าเชื่อถือ สูญเสียความเที่ยงธรรม จนกลายเป็นความสกปรกโสโครกในกระบวนการยุติธรรม ย่อมส่งผลกระทบแห่งความขัดแย้งแตกแยกที่ร้าวลึกในสังคมไทย สถาบันการเมืองการปกครองที่เคยยั่งยืนมาช้านานจะได้รับผลกระทบรุนแรงไปด้วย บ้านเมืองจะเข้าสู่กลียุคและสงครามทางการเมืองในที่สุด

            หากอ่านมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งระบุไว้ว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแต่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เป็นที่ชัดเจนตามถ้อยคำดังกล่าวแล้วว่า การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นกลางนั้นต้องมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเท่านั้น ก็เพราะการเลือกตั้งเป็นวิธีการตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

            นายกรัฐมนตรีเป็นกลางตามความต้องการของพวกไอ้แก้วกับไอ้ทองซึ่งดันทุรังเรียกร้องกันมากว่า 5 เดือน แล้วจึงเหลือวิธีการเดียว นั้นก็คือการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญกันอีกครั้ง ประชาชนคนไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง ถึงวันนั้นองคาพยพของพวกอำมาตย์และพวกอวดอ้างเป็นสมมติเทพทั้งหลายจะถึงกาลพินาศแน่นอน

 

30 มีนาคม 2557

บล็อกของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข แปลบทความในThe  Economist  เรื่องของ ลักษมี  ซีกัล  (ร้อยเอกลักษมี) หมอ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอินเดีย ที่ได้ มรณกรรมเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม  (อายุ  97  ปี) 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
  "บรรดาคนเป็น  ที่มีชีวิตอยู่ได้แต่อาศัยเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ไต่เต้าสู่ตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์  ในที่สุดพวกเขาเป็นได้แค่ลิ่วล้อสถุลของระบบการเมืองแบบเก่าเท่านั้น"
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
บทกวีที่หลุดรอดจากลูกกรงแดนตารางถึงเหยื่อมาตรา112ผู้จากไป
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
บี.เจ.ลี (B.J.LEE) ถอดความภาษาไทยโดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข แปลจากนิตยสาร Newsweek 6 สิงหาคม, 2012   
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข    
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
เมื่อแกนนำคนเสื้อแดง บรรณาธิการนิตยสาร Red Powerและนักโทษการเมือง ม.112 มองทิศทางเศรษฐกิจประเทศไทยผ่านลูกกรงของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข เล่าถึงชีวิตในเรือนจำของเพื่อนร่วมชะตากรรม สุชาติ นาคบางไซ  แกนนำ นปช.รุ่น 2 นักโทษการเมืองคดี ม.112 กำลังรออิสรภาพที่ดูเหมือนว่ามันกำลังใกล้ที่จะมาถึง