Skip to main content

ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรให้เป็น “ธรรม” ที่สุด   ครับในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะเอาอย่างไร ก็ไม่ทำตามกติกาที่ตกลงไว้จะสร้างปัญหาอย่างไรตามมาก็ลองนึกตามกันดูครับ

อย่างที่เรารู้กันดีว่าทุกคนในสังคมล้วนมีความคิด ความเชื่อ หรือความหวังเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนอยากใช้ชีวิตไปในเส้นทางที่ตัวเองเลือก แต่มันก็มีหลายครั้งที่เราเลือกเองทุกอย่างไม่ได้เพราะมีอะไรหลายอย่างมาสร้างเงื่อนไขให้ชีวิตเรา ตั้งแต่ ต้นทุนในชีวิตที่มีไม่เท่ากัน เช่น จน/รวย พรรคพวกมาก/ไร้เส้น การศึกษาสูง/ไม่ได้เรียนในระบบ   เป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน เช่น อยากมีเงินเยอะๆ อยากมีความสุข อยากอยู่เงียบสงบ อยากเป็นที่รักของคนเยอะๆ หรืออยากดัง   ไปจนถึงอิทธิพลจากสิ่งต่างๆในชีวิต เช่น ความคาดหวังของญาติพี่น้อง ต้องครองตนให้น่านับถือ หรือเอาอกเอาใจพรรคพวกเพื่อนฝูงและมวลชนของตน   ครับ มนุษย์แต่ละคนช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

จึงไม่แปลกเมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จึงคิดเห็นว่าต้องแก้ปัญหาต่างกัน อย่างเรื่องไปรับบริการทางการแพทย์ จะช้าหรือเร็ว จัดลำดับกันยังไงยังคิดต่างกันเลย   กลุ่มหนึ่งบอกว่าถ้าไปโรงพยาบาลทุกคนต้องเข้าคิวเหมือนกันหมด มาก่อนได้ก่อนมาหลังได้หลัง   อีกกลุ่มบอกได้ไงล่ะนี่มันโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ต้องดูแลพนักงานภายในก่อน   อีกคนบอกว่าเดี๋ยวก่อนย่าฉันป่วยหนักรอไม่ได้แล้วต้องให้คนแก่เจ็บหนักก่อน   อีกคนก็เถียงขึ้นมาทันทีว่าคนอื่นเขาป่วยน้อยกว่ารึยังไงทำไมถึงมาตัดหน้า   ลามไปถึงปัญหาคลาสสิก คือ ถ้ามีคนรู้จักก็เล่นลัดคิวรับฝากจองคิว หรือโรงพยาบาลเอกชนเปิดมารองรับคนที่มีเงินที่ไม่อยากรอเลยทีเดียว

ที่มันยุ่งวุ่นวายให้ต้องมาได้คิดมาก ก็เพราะเราแตกต่างกัน แต่ดันต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะต้องมาใช้ทรัพยากรร่วมกันนี่ล่ะครับ   แหม...ถ้าเราทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ หาของกิน ปรุงกินเองได้ สร้างบ้านได้ ซ่อมได้ ดัดแปลงของต่างๆเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้เองทุกอย่าง ก็ไม่ต้องมาสุงสิงกับคนอื่นสินะ  แต่ยากแล้วล่ะครับสมัยนี้   มีแต่พึ่งพาแลกเปลี่ยนกัน แล้วดั้นนน...มีสินค้าหรือบริการบางอย่างที่คนต้องการเยอะแต่มันมีน้อย ก็แย่งชิงกันเป็นธรรมดา ตั้งแต่ ที่ดิน ไฟฟ้า น้ำประกา อาหาร บริการสาธารณสุข ขนส่งมวลชน ฯลฯ

เมื่อไหร่เกิดการแย่งกันกินแย่งกันใช้ ตกลงกันไม่ได้ว่าจะแบ่งกันอย่างไร ไม่พ้นตบตีกันได้ง่ายๆ ครับ หรือที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “ความเสี่ยง” หรือ “ความไร้เสถียรภาพ” ของสังคมไงครับ   คงเคยเห็นการจัดอันดับของสำนักต่างๆที่บอกว่า ประเทศใดมั่นคงปลอดภัยมากที่สุด หรือเสี่ยงมากที่สุด พวกนี้ใช่ไหมครับ   นั่นล่ะครับ เขามักสำรวจว่าสังคมนั้น รักษากติกากันได้ไหม มีวิธีจัดการความขัดแย้งได้ลงตัวรึเปล่า หรือตอนนี้กำลังฮึ่มๆใส่กัน จนต้องเตรียมปืนและเสบียงไว้ที่บ้านกันเอาเองแล้ว

บางคนบอกว่า โอ้ยยย...กฎหมาย ไม่จำเป็นหรอก ถ้าทุกคนเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ต้องพูดถึงมันด้วยซ้ำ ขอแค่เรารู้รักสามัคคี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ทุกคนยิ้มได้สบายมาก   ครับ ในเวลาปกติทั่วไป ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็เป็นคนดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจกันได้ง่ายๆครับ   แต่เมื่อไหร่เกิดเรื่องขึ้นมา เช่นว่า รถชนกันจนมีคนบาดเจ็บล้มตาย  มีความเสียหายมากมาย ทีนี้ล่ะครับ ตัวใครตัวมัน เพราะไม่มีใครอยากมารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองไม่ผิด และอยากให้คนที่ทำผิดมาชดใช้ความเสียหายใช่ไหมครับ   เวลาทะเลาะกันแล้วมีกันแค่ฝ่ายละคนก็ว่าตกลงกันอยากแล้ว   แต่ในความเป็นจริงทุกคนมีสังคมกันทั้งนั้นนี่ครับ ก็ระดมคนรู้จักมาช่วยตัวเองกันทั้งนั้น   และไม่ว่าจะคนดีขนาดไหน แต่ใครๆก็รักตัวเอง หรือญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องตัวเองด้วยเสมอ   ไอ้ที่เคยฟันธงเป๊ะๆ มันเลยอาจเอนเอียงเข้าข้างตนเองได้ง่ายๆ เพราะเดิมพันมันใหญ่ขึ้นทุกที อาทิ   ติดคุก/รอดตัว   จ่าย 3 ล้าน / ได้ชดเชย 3 ล้าน   เป็นต้น

ถ้าเอาแบบสังคมนักปราชญ์ที่รถชนกันกลางสี่แยกแล้วต่างฝ่ายไปเรียกปราชญ์ของฝ่ายตนมาเถียงกันว่าใครผิด เคยคิดไหมครับว่าจะเถียงกันไปเรื่อยๆได้ขนาดไหน แล้วเถียงกันจะจบไหม  เพราะนักปราชญ์จากต่างสำนักก็มักจะให้เหตุผลเน้นน้ำหนักไปตามสังกัดสำนักที่ต่างกันอีก   หรือแย่กว่านั้น คือ ไม่ยึดเหตุผลแล้ว แต่หาข้ออ้างมาเถียงข้างคูๆ แต่ฟัง “ดูดี” ก็มี เพราะมีทักษะในการเถียง   บอกได้เลยครับว่า “ยาวววววว”

บางคนบอกว่า อย่าไร้สาระ ไม่เห็นมีอะไรยากเลยใช้ “สามัญสำนึก” สิ  เกิดอะไรขึ้นก็เอาสามัญสำนึกมาวัดเลยว่าทำอย่างนี้ ผิดหรือไม่ผิด   อย่าลืมนะครับว่า ประสบการณ์ในชีวิตคนน่ะ  มันต่างกัน!!!   เช่น รถเก๋งขับมาบนทางซ้ายชนเข้ากับคนเข็นรถหาบเร่ข้างถนนที่กำลังเดินทางเอาของไปขาย   คนเข็นรถอาจบอกได้ว่า ไม่มีน้ำใจมาชนคนที่เข็นรถหนักๆไปทำมาหากินได้อย่างไร   ส่วนคนขับรถเก๋งอาจบอกว่าอ้าวก็หลบไม่ได้อีกฟากมีรถสวนมาไงจึงต้องชิดด้านนี้   แล้วรัฐก็อาจมาบอกว่า ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถนนเป็นที่ของยานพาหนะห้ามเข็นอะไรมากีดขวางการสัญจร   จบเลยครับ กฎหมายบอกอย่างนี้

เราคงเห็นแล้วว่า กฎหมายมีเพื่อป้องกันปัญหาการเถียงกันไม่จบ ไม่สิ้น   เพราะถ้าไม่มีกติกา ต่างฝ่ายต่างระดมเหตุผล พรรคพวก กำลังภายในทางมืด มาสู้กันไม่ถอย   เพราะต้องคอยยันกันไว้ไม่ให้ฝ่ายตัวเองเพลี่ยงพล้ำ   ยิ่งปัญหาใหญ่ๆ ที่เถียงกันเอาเป็นเอาตายและมีส่วนได้เสียกันมหาศาล ก็ทำให้ต้องเลิกสนใจเรื่องอื่น แล้วมาตื่นตัวคอยระวังเรื่องนี้ไว้ตลอดใช่ไหมครับ   เช่น   จะมีเขื่อนมาสร้างข้างบ้าน คนจะเอาเขื่อนเอาไฟก็ให้เหตุผลว่าต้องพัฒนาเพื่อคนทั้งชาติ   ชาวบ้านในพื้นที่ก็ว่าต้องรักษาไว้ให้ชุมชนใช้สอยไปถึงลูกหลาน มาปิดเบี่ยงทางน้ำ ตัดป่าไล่สัตว์ได้ยังไง   ถ้าไม่มีกฎหมายมาวางกรอบไว้ สงสัยได้ตั้งป้อมเฝ้าหรือจ้องเข้าไปไล่รื้อ  จนต้องมีกองกำลังติดอาวุธกันทั้งสองฝ่ายเป็นแน่

นี่ละครับ สิ่งที่เรียกว่าความเสี่ยง เพราะต้องคอยหวาดระแวงคนใกล้ตัว และระวังภัยที่คาดไม่ถึงตลอดเวลา   เพราะไม่มีกติกา หรือการบังคับใช้กติกาอย่างตรงไปตรงมา ให้คาดเดาได้ง่ายๆว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จะมีขั้นตอนอย่างไร ใครผิด ใครถูก จะเถียงกันยังไง จะให้ใครมาเถียงได้บ้าง ถ้าเถียงกันไม่จบ จะใช้หลักอะไรในการตัดสินใจ   ถ้าตัดสินใจหรือตกลงกันไปแล้ว จะทำตามข้อตกลงกันยังไง            บางกรณียื้อกันไปยื้อกันมาหลายสิบปีเลยนะครับ   ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี หรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เสียโอกาส” ในการพัฒนานั่นแหละครับ                  

ความขัดแย้งเป็นของคู่กันกับสังคมคนจำนวนมากอยู่แล้ว จนมนุษย์เรามีบทเรียนมาหลายร้อยปีแล้วว่า ถ้าเรื่องไหนจะทะเลาะกันหรือมันเคยทะเลาะกันมาบ่อยๆ ก็ควรตกลงกันไว้เถอะว่าจะอยู่ยังไง จะเอายังไง เพราะไม่งั้นก็ไม่เป็นทำอะไรแน่ ดังกรณีปัญหาในคลินิกกฎหมายทุกเรื่องที่มาปรึกษา ก็บอกว่าพอคนในครอบครัวมีเรื่องขึ้นมา ก็เครียดกันจนไม่เป็นอันกินอันนอนเลยทีเดียว   นี่มันปัญหาใหญ่นะครับ

สังคมที่จะมีความมั่นคงและทำให้คนในสังคมสบายใจมีเวลาไปพัฒนาตัวเองและสังคม จึงต้องเขียนกติกาขึ้นมาอยู่ด้วยกัน เพื่อให้คาดเดาได้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรื่องจะจบลงอย่างไร ใครผิดใครถูก รวมไปถึงบอกว่า ต้องสู้คดีกันอย่างไร จะได้เตรียมตัวถูก

กฎหมายมหาชน เช่น รัฐธรรมนูญ นี่ล่ะครับที่เป็น กติกาในการจัดการความขัดแย้งและสร้างความมั่นคงให้กับสังคม   เพราะจะบอกว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญๆในรัฐขึ้นมาจะจัดการอย่างไร  เพราะจะบอกว่าประชาชนทำอะไรได้ คือ บอกว่า “มีสิทธิ” อะไร   และบอกว่าต้อง “ใช้สิทธิอย่างไร”  ซึ่งก็คือบอก ขอบเขตการใช้สิทธิ ไม่ให้สร้างผลกระทบกับผู้อื่นมากเกินไป   ซึ่งนักกฎหมายชอบพูดว่า “ต้องใช้สิทธิโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น” นั่นล่ะครับ  

การชุมนุมทางการเมือง เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ครับ เพราะรู้ว่าหลายครั้งท่านมีปัญหาต้องการการแก้ไข แต่ผู้มีอำนาจทั้งหลายไม่สนใจหรือไม่รับฟัง ก็ต้องรวมตัวกันแสดงพลังและส่งเสียงไปให้ได้ยินชัดขึ้น และไปถึงนำไปสู่การแก้ไขปัญหา   แต่ว่าต้องไม่ลืมนึกถึงคนอื่นๆในสังคมที่มีปัญหาในชีวิตประจำวันต้องดิ้นรนเหมือนกัน   ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงกำหนดว่าการใช้สิทธิจะได้รับการคุ้มครองหากชุมนุม “โดยสงบ” และ “ปราศจากอาวุธ”   นั่นล่ะครับ ต้องเขียนกันให้ชัดเป็นรูปธรรมขึ้น   แต่ผู้ที่มาตัดสินว่าเป็นไปตามกฎหมายกำหนดก็คือ “ศาล” ซึ่งต้องดูข้อเท็จจริงว่า มีการใช้อาวุธในการชุมนุมหรือไม่ ชุมนุมโดยใช้พื้นที่เหมาะสมกับจำนวนคนรึเปล่า มีความจำเป็นที่ต้องใช้เวลานานเพื่อเจรจาหรือต่อรองจนได้รับข้อตกลงหรือไม่ 

เพราะหากไม่มีขอบเขตการชุมนุม และไม่มีการชี้ขาด  คงทำให้คนในสังคมอีกจำนวนมากเดือดร้อน จนกลายเป็นเดือดดาล และอยากจะเข้ามายุติการชุมนุมด้วยน้ำมือของตัวเอง   ซึ่งเป็น “ความเสี่ยง” ที่กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ครับ   เพราะรัฐสมัยใหม่จะต้องทำให้คนอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ใช้ความรุนแรงที่จะนำความเสียหายและความโกรธแค้นหวาดระแวงตามมาอีกมากมาย  ซึ่งคนในสังคมไทยคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นใช่ไหมครับ

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
การนำ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 205/2549 มาตราเป็นพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร  โดยแฝงนัยยะของการสร้าง “รัฐทหาร” ด้วยการขยับขยายขอบเขตอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ กอ. รมน.
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังสิ้นสุดยุคสมัยสงครามเย็น หนึ่งในมรดกตกทอดจากยุคนั้น ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยที่มีอำนาจหน้าที่อย่างเข้มข้นในการเฝ้าระวัง สอดส่อง ควบคุมการสื่อสารและการกระทำต่าง ๆ ของประชาชนที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และส่งผลเสียต่อการยืนหยัดสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองช่วงนั้น อาทิ กอง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านจัดเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิและด้อยโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ สวัสดิการ และหลักประกันด้านต่าง ๆ ด้วยเหตุที่เป็นกลุ่มซึ่งต้องปะทะโดยตรงกับการพัฒนาเมืองอย่างไม่ยั่งยืนทั้งที่สาเหตุของการออกมาอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้นเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเป็นผลลัพธ์ของนโยบายส
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านตกอยู่ในสถานะของกลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญจากการเหยียดหยามศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยตรงจากการละเมิด และยังอาจไม่ได้รับการดูและแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากต่าง ๆ เพราะถูกจัดให้อยู่ในสถานะต่ำต้อยเสี่ยงต่อการเลือกประติบัติจากรัฐ จนไปถึงการเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่จะแก้ปัญหาให้คนไร้บ้
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านเป็นเสียงที่ไม่ถูกนับ การใช้พลังในลักษณะกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประโยชน์จากผู้มีอำนาจให้จัดสรรทรัพยากรให้จึงเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคนไร้บ้านจำเป็นต้องยืนอยู่บนฐานของกฎหมายที่ประกันสิทธิของบุคคลโดยมิคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายทางสถานภาพใด ๆ แม้คนไร้บ้านจะเป็นปัจเจกชน หรือกลุ่มคนที่มีปริมาณน้อยเพียงไร รัฐก็มีพันธกรณีในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิให้กลุ่มเสี่ยงนี้โดยเหตุแห่งความเป็นสิทธิมนุษยชนที่ร
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมตลาดดิจิทัลที่มีเข้มข้นของกิจกรรมข้ามพรมแดนตลอดเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาศักยภาพของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายขยายไปเหนือหลักเขตอำนาจศาลเหนือดินแดนของตนแบบเก่า เมื่อต้องกำกับกิจกรรมของบรรษัทข้ามชาติที่อยู่ในการบังคับของกฎหมายรัฐอื่นซึ่งมีบรรทัดฐานในหลายประเด็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติกับรัฐ จะกระทำใน 3 ประเด็นหลัก คือ ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ใครมีสิทธิใช้ประโยชน์จากข้อมูลมากน้อยอย่างไร หรือแบ่งปันกันอย่างไร อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูล
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการรวบรวมข้อเสนอทางกฎหมายในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ กับรัฐและองค์การระหว่างประเทศ อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการทบทวนข้อกฎหมายทั้งในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ เรื่อยมาจนถึงสำรวจความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลระหว
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นพื้นฐานที่รัฐต้องคิด คือ จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสะสมความมั่งคั่งได้อย่างไร แล้วจึงจะไปสู่แนวทางในการแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้อมูลขึ้นมาในแพลตฟอร์ม
ทศพล ทรรศนพรรณ
Kean Birch นำเสนอปัญหาของข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะสินค้าของตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยีจำนวน 5 ประเด็น คือ1.ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของแพลตฟอร์มในฐานะเจ้าของข้อมูลทึ่ถูกรวบรวมโดยนวัตกรรม,