Skip to main content

ขบวนการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ในบริบทโครงสร้างทางอำนาจในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน การรวมศูนย์อำนาจหรือการครอบงำทางวัฒนธรรมโดยใช้วัฒนธรรมเดียว สิทธิชุมชนจึงเป็นการต่อสู้เพื่อปรับสัมพันธภาพทางอำนาจ สร้างตำแหน่งแห่งที่ให้ชุมชนให้เกิดความเป็นธรรมและเคารพในความหลากหลาย โดยท้องถิ่นมีเสรีภาพในการกำหนดกติกา วิถีชีวิต เศรษฐกิจและแบบแผน การจัดการทรัพยากรที่เหมาะสมกับระบบนิเวศและวัฒนธรรมของตน ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย นัยของสิทธิชุมชนดังกล่าวจึงมีความลึกซึ้งกว้างขวางกว่า คำว่า“การกระจายอำนาจ” “การมีส่วนร่วม” “ประชาสังคม” และ “ธรรมรัฐ” ซึ่งเป็นคำที่รัฐหยิบมาใช้โดยขาดจิตวิญญาณเพื่อประชาชนและชุมชนอย่างแท้จริง 


นับแต่การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศก็ปรากฏ ชุมชนเสมือนจริง (Virtual Community) ขึ้นเป็นชุมชนรูปแบบใหม่ที่เกิดมา พรอ้มกับเทคโนโลยีสื่อสารจึงไม่จำกัดอยู่กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่มีเครือข่ายที่เชื่อมโยงสื่อสารกันได้ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารประสบการณ์ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เครือข่ายทางวิทยุ หรือ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น จึงเป็นชุมชนที่อาศัยเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศซึ่งมีลักษณะเปิดกว้างให้กับสมาชิกทุกประเภทเป็นชุมชนที่ไร้พรมแดน


ประชาชนผู้รวมตัวกันเพื่อแสดงออกในประเด็นสาธารณะ หรือในทางทฤษฎีที่เรียกว่า “กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มกดดัน”  ถือเป็นภาพสะท้อนของการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการแสดงออกซึ่งความต้องการของตน (Freedom of Expression) ที่มาควบคู่กันกับสิทธิในการชุมนุม (Right to Assembly) หรือการรวมตัวสมาคม (Freedom of Association) ของตนเอง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย จึงอาจกล่าวได้ว่าการแสดงออกด้วยวิธีการชุมนุมหรือรวมกลุ่มบน “พื้นที่สาธารณะ” (public space) เป็นพื้นที่แห่งการแสดงออกซึ่งเจตจำนงของมวลชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในอันที่จะเป็นเครื่องสะท้อนสังคม และกระตุ้นเตือน “รัฐบาล” ผู้กำหนดนโยบายแห่งรัฐอันส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดสรรทรัพยากรร่วมให้เป็นไปตามกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิของประชาชน

อุปสรรคสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนก็คือ การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน (SLAPP - Strategic Lawsuit Against Public Participation) ซึ่งหมายถึงการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการสาธารณะ หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า “การฟ้องคดีเพื่อตบปาก” คดีประเภทนี้จะแตกต่างจากคดีทั่วไป ตรงที่ผู้ฟ้องได้ฟ้องคดีเพียงเพื่อขู่อีกฝ่ายให้กลัว หรือทำให้เกิดภาระมากมายจนหยุดการกระทำ หรือแกล้งขัดขวางยับยั้งการใช้สิทธิเสรีภาพของอีกฝ่าย โดยถ้อยคำข้างต้นพ้องกับคำว่า slap ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า “ตบ” ทำให้เห็นได้ว่าการฟ้องคดีที่มีลักษณะเป็น SLAPP ก็เหมือนเป็นการตบคนด้วยกฎหมายนั่นเอง 


บทเรียนจากกรณีศึกษาทั้งในไทยและต่างประเทศก็สะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการสร้างมาตรการป้องกันมิให้รัฐหรือบรรษัทเลี่ยงการถูกตรวจสอบด้วยการฟ้องหมิ่นประมาทประชาชน หากเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ เมื่อมีการดำเนินคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ (SLAPP)  ก็มีความพยายามเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาก็คือ กฎหมาย Anti-Slapp ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกามิได้ห้ามโจทก์ฟ้องคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ แต่ได้กำหนดมาตรฐานพิเศษเพื่อรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ (special motion to strike) โดยการเปิดช่องให้จำเลยขอยุติการดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและกำหนดภาระให้โจทก์ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายและค่าทนายให้กับจำเลย 

แต่เมื่อดูคดีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อตบปากประชาชนปรากฏในหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การฟ้องความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 และ นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติการทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ โดยผลสะเทือนของคดีนั้นรุนแรงถึงขั้นทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้าออกประเทศไทยได้อย่างสะดวก อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพอย่างร้ายแรง หรือการมีคดีความติดตัวจนเป็นการยากในการทำงาน และเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ รึเป็นคดีความติดตัวจนไม่อาจลงรับสมัครเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งสำคัญได้


โดยทั่วไปสิทธิในการฟ้องคดีมีจุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ หรือให้สิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม และประชาชนทุกคนมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่จะฟ้องร้องผู้ที่ทำให้เราเสียหายได้ แต่ทว่า ปฏิบัติการตบปากด้วยกฎหมาย กลับมีจุดมุ่งหมายที่ต่างออกไป โดยการฟ้องคนในลักษณะตบปาก ไม่ได้ต้องการความเป็นธรรม แต่ต้องการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือหยุดกลุ่มคนหรือบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านหรือวิพากษ์วิจารณ์ให้มีภาระทางกฎหมาย ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนพอสมควรในการต่อสู้คดี ทั้งนี้ ฐานความผิดที่นิยมใช้ส่วนมากก็คือ การฟ้องหมิ่นฐานประมาท แต่ในบางประเทศก็อาจจะนำกฎหมายอื่น ๆ อย่างเช่น กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงมาใช้ด้วย 


กลุ่มที่มักตกเป็นผู้ถูกฟ้องหรือจำเลยในคดีฟ้องตบปาก คือ ปัจเจกบุคคลทั่วไป ภาคประชาสังคม องค์กรหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ซึ่งได้ปฏิบัติการเคลื่อนไหวคัดค้านการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มบรรษัทหรือผู้มีอำนาจรัฐ โดยกิจกรรมดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) และในการฟ้องปิดปากก็ทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อต้องเสียทั้งเวลาทั้งทรัพยากรต่าง ๆ ไปจำนวนมากในระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาล การฟ้องปิดปากจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการจะดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวคัดค้านของผู้ถูกฟ้อง ในส่วนของประเด็นทางกฎหมายที่ถูกนำมาใช้ในการฟ้องตบปากนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะการกระทำของฝ่ายผู้ถูกฟ้อง ไม่ว่าจะเป็น ข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง (Defamation) ข้อหาบุกรุกความเป็นส่วนตัว (Invasion of Privacy) การใช้กระบวนพิจารณาของศาลไปในทางมิชอบ (Abuse of Process), การฟ้องเท็จ (Malicious Prosecution) ความผิดฐานสมคบกันเพื่อร่วมกันกระทำการทุจริต (Civil Conspiracy) และการแทรกแซงการทำสัญญา หรือความสัมพันธ์ทางธุรกิจอันมีลักษณะเป็นการละเมิด (tortious interference with contract or business relationships)   เป็นต้น


จะเห็นได้ว่าการฟ้องตบปากถือเป็นเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งในไทยและต่างประเทศดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น หากจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนบนพื้นที่ไซเบอร์และลดต้นทุนให้กับพลเมืองผู้ตื่นตัวให้กล้าแสดงออกใด ๆ ต้องลดความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

นอกจากนี้การสร้างหลักประกันพื้นฐานอื่น ๆ เกี่ยวกับสิทธิในการรวมกลุ่มเป็นสมาคมตั้งสหภาพ เสรีภาพในการชุมนุม และสิทธิในความเป็นส่วนตัวได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งบนพื้นที่ไซเบอร์และในโลกกายภาพ ก็เป็นสิ่งที่รัฐไทยต้องพยายามปรับปรุงต่อไปเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั่วไปกล้าที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออกเพื่อเรียกร้องสิทธิในทรัพยากรร่วมมากยิ่งขึ้น

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
การนำ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 205/2549 มาตราเป็นพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร  โดยแฝงนัยยะของการสร้าง “รัฐทหาร” ด้วยการขยับขยายขอบเขตอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ กอ. รมน.
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังสิ้นสุดยุคสมัยสงครามเย็น หนึ่งในมรดกตกทอดจากยุคนั้น ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยที่มีอำนาจหน้าที่อย่างเข้มข้นในการเฝ้าระวัง สอดส่อง ควบคุมการสื่อสารและการกระทำต่าง ๆ ของประชาชนที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และส่งผลเสียต่อการยืนหยัดสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองช่วงนั้น อาทิ กอง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านจัดเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิและด้อยโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ สวัสดิการ และหลักประกันด้านต่าง ๆ ด้วยเหตุที่เป็นกลุ่มซึ่งต้องปะทะโดยตรงกับการพัฒนาเมืองอย่างไม่ยั่งยืนทั้งที่สาเหตุของการออกมาอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้นเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเป็นผลลัพธ์ของนโยบายส
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านตกอยู่ในสถานะของกลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญจากการเหยียดหยามศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยตรงจากการละเมิด และยังอาจไม่ได้รับการดูและแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากต่าง ๆ เพราะถูกจัดให้อยู่ในสถานะต่ำต้อยเสี่ยงต่อการเลือกประติบัติจากรัฐ จนไปถึงการเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่จะแก้ปัญหาให้คนไร้บ้
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านเป็นเสียงที่ไม่ถูกนับ การใช้พลังในลักษณะกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประโยชน์จากผู้มีอำนาจให้จัดสรรทรัพยากรให้จึงเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคนไร้บ้านจำเป็นต้องยืนอยู่บนฐานของกฎหมายที่ประกันสิทธิของบุคคลโดยมิคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายทางสถานภาพใด ๆ แม้คนไร้บ้านจะเป็นปัจเจกชน หรือกลุ่มคนที่มีปริมาณน้อยเพียงไร รัฐก็มีพันธกรณีในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิให้กลุ่มเสี่ยงนี้โดยเหตุแห่งความเป็นสิทธิมนุษยชนที่ร
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมตลาดดิจิทัลที่มีเข้มข้นของกิจกรรมข้ามพรมแดนตลอดเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาศักยภาพของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายขยายไปเหนือหลักเขตอำนาจศาลเหนือดินแดนของตนแบบเก่า เมื่อต้องกำกับกิจกรรมของบรรษัทข้ามชาติที่อยู่ในการบังคับของกฎหมายรัฐอื่นซึ่งมีบรรทัดฐานในหลายประเด็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติกับรัฐ จะกระทำใน 3 ประเด็นหลัก คือ ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ใครมีสิทธิใช้ประโยชน์จากข้อมูลมากน้อยอย่างไร หรือแบ่งปันกันอย่างไร อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูล
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการรวบรวมข้อเสนอทางกฎหมายในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ กับรัฐและองค์การระหว่างประเทศ อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการทบทวนข้อกฎหมายทั้งในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ เรื่อยมาจนถึงสำรวจความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลระหว
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นพื้นฐานที่รัฐต้องคิด คือ จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสะสมความมั่งคั่งได้อย่างไร แล้วจึงจะไปสู่แนวทางในการแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้อมูลขึ้นมาในแพลตฟอร์ม
ทศพล ทรรศนพรรณ
Kean Birch นำเสนอปัญหาของข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะสินค้าของตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยีจำนวน 5 ประเด็น คือ1.ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของแพลตฟอร์มในฐานะเจ้าของข้อมูลทึ่ถูกรวบรวมโดยนวัตกรรม,