Skip to main content

 

ใต้ผืนฟ้าสีมืด ใต้แสงริบรี่แห่งหมู่ดาว

ใต้สายลมเวิ้งว้างว่างเปล่า ใต้จิตสำนึกซึ่งรกร้างดุจดังสุสานฝังศพของสรรพสิ่ง

ฉันดำรงอยู่อย่างกระด้างกระเดื่อง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

กระทั่งสิ่งทั้งปวงที่แหวกว่ายไหลเวียนรอบกาย

แม้แต่ร่างกายซึ่งถูกจองจำด้วยกฏเกณฑ์แห่งเพศพันธุ์ก็มิอาจรำงับความหยาบกระด้างของตนเอง

ฉันอาจกำลังเมามายแรงหมุนแรงเหวี่ยงสารพัดบนผืนดินนี้

อาจเมามายเมรัยซึ่งกลั่นรินจากน้ำตาที่ราดรดใบหน้าของใครต่อใคร

หรืออาจเมามายหยดเลือดแดงข้นแห่งมวลมนุษยชาติ

ฉันไม่อาจระบุถึงมันอย่างชัดเจน ฉันอยากอาเจียนเหลือเกิน

อยากขย้อนเอาซากบริโภคทั้งปวงในอดีตออกมาให้สิ้น

บางทีอาจอยากร่ำร้องคร่ำครวญฟูมฟายตีโพยตีพายกระฟัดกระเฟียด

ให้สาใจตนเอง ให้สาใจหมู่วิญญาณเศร้าสร้อยของผีไม่มีแหล่งอยู่

ให้สาใจผู้คนซึ่งย่างเท้าย่ำขยี้หัวใจผู้คนด้วยกันกระทั่งไล่บี้หัวใจของตัวเขาเอง

ให้สาสมกับความสามานย์ของเบื้องต่ำในใจ

ฉันเพียงอยากกลั่นน้ำตาซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำค้างให้ออกมาจากเรือนร่างของตนเอง

ให้ออกมาจากตาคู่นี้ของตนเอง ตาที่พานพบแต่เพียงนาฎกรรมแห้งแล้ง

ตาที่กักเก็บเรื่องราวมากมายเป็นความทรงจำสีเขียวซึ่งราวกับว่ามันเป็นสีของเชื้อราที่งอกงามเติบโตบนบาดแผลสีน้ำตาล

ฉันรู้และเข้าใจดีว่าหยดน้ำอุ่นรสปร่านั้นคือส่วนสุดท้ายที่งดงามที่สุด ละเอียดที่สุด พิสุทธิ์ที่สุด ในฉัน...

 

ฉันเรียกร้องให้ตนเองปลดปล่อยสายน้ำแห่งความเศร้า ครั้งแล้วครั้งเล่า

เพื่อผลักไสไล่ส่งความมืดทึมเทาในหัวใจออกสู่อากาศ สู่ผิวไม้ สู่ใบหญ้า กระทั่งสู่เวิ้งจักรวาล

ฉันรับรู้เพียงสำนึกแห่งตน ขณะที่มิอาจรู้เหตุแห่งมัน

เหตุแห่งสำนึกลึกลับนับล้านที่กรุยกรายเหยียบย่ำทำลายความไร้เดียงสา ความงดงาม ความอ่อนโยน ในฉัน...

 

บนผืนดินแข็งแห้งผาก บนกรวดหินเม็ดทรายเกลื่อนกระจาย

บนสายรุ้งฟุ้งฝันที่ลับหาย บนสำนึกรุงรังพรั่งพรายด้วยความเคลื่อนไหวนับประการของสรรพสิ่ง

ฉันเรียนรู้ความกระด้างกระเดื่อง ทั้งจากตนเองและผู้อื่น

 

 

บล็อกของ เสี้ยวแสง

เสี้ยวแสง
 นกอย่างฉันฉันถูกสกัดปีกตั้งแต่เด็กแต่ธรรมชาติของฉันปีกของฉันยังงอกโต จะปฏิเสธอย่างไรเล่าหากฉันอยากโบยบินสักครั้งเพราะขาของฉันมันก็มิได้แกร่งสักเท่าไหร่ ขาของฉันอ่อนล้าเพราะอาหาร