Skip to main content

ยุทธวิธีการหาเสียง
แบบใช้ความสุภาพอ่อนโยน ไม่ขุดคุ้ยโจมตีคู่ต่อสู้ ของ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้กระทั่งกรณีการประกาศเข้าไปปราศรัยหาเสียงที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย. ของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านจากผู้ใด โดยคุณอภิสิทธิ์อ้างว่าทุกคนมีสิทธิ ไม่มีใครผูกขาด และคุณสุเทพช่วยเสริมว่า
“ถ้าสิ่งที่พวกผมทำนั้นไม่ถูกต้อง ประชาชนก็ตัดสินเอง...”
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคุณอภิสิทธิ์ที่ออกไปหาเสียงต่างจังหวัดที่ไหน ก็มักถูกคนเสื้อแดงชูป้ายต่อต้าน หรือเข้าไปประชิดตัวตั้งคำถามที่คุณอภิสิทธิ์ยากที่จะตอบได้...

ซึ่งใครๆต่างก็พูดกันว่า นี่คือไพ่ใบสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์ทิ้งลงมา เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากคนกรุงเทพมหานคร พื้นที่ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยยึดครองมาตลอดกาล และกำลังจะสูญเสียไปให้คุณยิ่งลักษณ์ตามที่โพลต่างๆชี้เอาไว้ โดยจะยกเอากรณี “เผาบ้านเผาเมือง” ที่คนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำมาดิสเครดิตคนเสื้อแดงและคุณยิ่งลักษณ์ แถมยังหวังว่างานนี้...จะเอาคะแนนเสียงจากกลุ่มที่โหวตโนในกรุงเทพฯให้ได้อีกด้วย

เรื่องนี้
แทนที่คุณยิ่งลักษณ์ จะลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายคัดค้านเช่นเดียวกับแกนนำคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจในแง่ที่ว่าไปซ้ำเติมเยาะเย้ยคนเสื้อแดง แต่เธอกลับไม่คัดค้าน ซึ่งนอกจากไม่คัดค้านแล้ว เธอยังแสดงความหวังดีแก่คุณอภิสิทธ์ และคุณสุเทพ เทือกสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญในการยั่วโมโหมนุษย์ว่า
“...ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะถือเป็นกลยุทธ์ของแต่ละพรรคการเมือง แต่ขอให้การปราศรัยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทุกฝ่ายต้องอดทน และช่วยบ้านเมืองเข้าสู่ความปรองดอง สิ่งที่อยากเห็นคืออยากให้มองข้ามความขัดแย้ง ทำให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า เพื่อมุ่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน...”

ไม่ว่าคำพูดของคุณยิ่งลักษณ์ จะจริงใจหรือไม่จริงใจ แต่ก็ทำให้คนที่พยายามชักชวนคุณยิ่งลักษณ์เล่นเกมชักคะเย่อ เพื่อจะไล่ต้อนทุบตี ตั้งแต่การชวนคุณยิ่งลักษณ์ดีเบตประชันวิสัยทัศน์ ต้องล้มลงไปเอาก้นกระแทกพื้นกันเป็นระนาว เพราะดึงเชือกจนสุดกำลังแล้ว แต่เธอกลับปล่อยเชือกไม่ยอมเล่นเกมด้วย เรื่องนี้ว่ากันว่า ถ้าคนเสื้อแดงวางเฉยและยอมรับเสรีภาพของเขาอย่างคุณยิ่งลักษณ์...จะเป็นผลดีกว่า แถมยังได้คะแนนจากสังคมทุกฝ่ายที่ต้องการจะเห็นความปรองดอง เช่น องค์กรต่างๆ 7 องค์กรที่สำคัญของสังคมได้รวมตัวกันออกมาขานรับ- การก้าวข้ามความขัดแย้ง...ไปสู่ความปรองดอง แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับมิได้สนใจกระแสสังคมนี้ เพราะมัวหน้ามืดห่วงไยแต่ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของตนเอง จึงคิดแต่เรื่องที่จะทำลายคู่แข่งอย่างผิดกาลเทศะ...

ถ้าหากยุทธวิธี
การหาเสียงของคุณยิ่งลักษณ์วิธีการนี้มิได้เป็นไปตามอุปนิสัยเช่นนี้ของเธอจริงๆ แต่เป็นยุทธวิธีที่ได้รับการวางแผนมาจากฝ่ายมันสมองคนใดคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังคุณยิ่งลักษณ์ ก็ต้องยอมรับกันละครับ ว่าฝ่ายมันสมองของคุณยิ่งลักษณ์นี่...มิใช่ธรรมดาเลยนะจะบอกให้...

เพราะยุทธวิธีการต่อสู้แล้วชนะแบบนี้
เขาคงอ่านเกมทะลุมาก่อนแล้ว ว่าจะใช้ยุทธวิธีใดที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามใช้ยุทธวิธีใช้ไม้แข็งไล่ทุบตีคุณยิ่งลักษณ์ ต้องพ่ายแพ้ และได้ใจคนแม้แต่กลุ่มที่โหวตโนเป็นจำนวนมิใช่น้อย รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี มีสติปัญญา ที่กำลังตื่นตัวทางการเมือง...

ซึ่งจนป่านนี้
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกตั้งแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังหาวิธีแก้เพลงดาบที่ชื่อว่า ความสุภาพอ่อนโยน หรือ นารีพิฆาต ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ เพราะคุณยิ่งลักษณ์เธอไม่ยอมหลงกลเข้าไปต่อความยาวสาวความยืดตามช่องทางที่พรรคประชาธิปัตย์เขาเชี่ยวชาญ นั่นคือ ขุดคุ้ยความผิดคู่กรณี โจมตี แล้วเอากฎหมายเข้าไปจับผิดและลงโทษ แถมยังทำให้ยุทธวิธีของพรรคประชาธิปัตย์มีอาการเหมือนคนแก่ที่พร่ำบ่นแต่เรื่องเก่าๆซ้ำๆซากๆเป็นที่น่ารำคาญของคนที่ได้ยิน

การใช้ความอ่อนโยน บวกกับความเป็นผู้หญิงที่สวยของคุณยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้คุณอภิสิทธ์ต้องตกเป็นรองถึงขนาดนี้ (ถ้าโพลไม่ใช่โพลเทียม ฮา) ทำให้ผมนึกถึง ปรัชญาเต๋า ที่นำหลักของธรรมชาติมาสังเคราะห์เป็นหลักปรัชญาบทหนึ่งว่า

ถ้าต้องการให้หด ต้องขยายเสียก่อน
ถ้าต้องการให้อ่อนแอ ต้องทำให้เข้มแข็งเสียก่อน
ถ้าต้องการให้ตกต่ำ ต้องทำให้ยิ่งใหญ่เสียก่อน
เหล่านี้คือความกระจ่างแจ้งที่แฝงอยู่

ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
ปลาไม่อาจละทิ้งน้ำลึก
อาวุธที่ร้ายแรงของประเทศไม่ควรเอามาอวดผู้คน

ปรัชญาเต๋าบทนี้
ที่ผมหยิบยกมาบทนี้ เป็นปรัชญาเต๋าจากสำนวนการแปล ของ คุณเกรียงไกร เจริญโท ในหนังสือ “อยู่อย่างเต๋า” ที่ผมเคยแนะนำให้อ่านกันเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง คุณเกรียงไกรได้อธิบายเต๋าบทนี้เอาไว้ว่า
“เพียงอ่านคร่าวๆในครั้งแรก เราก็สามารถเห็นได้ว่า
ข้อความเหล่านี้มาจากการสังเกตธรรมชาติอย่างเฉียบแหลม
ตัวอย่างเช่น เราสามารถใช้ความร้อนเพื่อขยายชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ
แล้วปล่อยให้เย็นและหดตัว เพื่อให้รัดกับสิ่งประกอบอื่นได้อย่างเหมาะสม
ในทางการค้าเราจะเห็นผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิด
ที่ได้รับการส่งเสริมในการขายจนราคาสูงลิ่ว
ต่อจากนั้นไม่นาน ราคาจะตกลงจนแทบหาค่าไม่ได้
(จตุคามรามเทพ คือ ตัวอย่างที่อ่อนแอและตกต่ำ ด้วยการถูกทำให้เข็มแข็งและยิ่งใหญ่เสียก่อน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของคนที่โลภและหวังผลประโยชน์จากการสร้างวัตถุมงคลนี้ - ถนอมไชยวงษ์แก้ว เสริม)

ส่วนความคิดที่ว่าอ่อนชนะแข็งนั้น
มีตัวอย่างมากมาย เช่น น้ำหยดลงหิน หรือลิ้นทนทานกว่าฟันเป็นต้น...”

ครับ
ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายหนึ่งพัฒนาการต่อสู้ทางการเมืองก้าวหน้าไปถึงระดับปรัชญา แต่อีกพรรคหนึ่งก็ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ เพราะคงถือว่า มียักษ์ถือกระบองยืนอยู่ข้างหลังคอยเป็นตัวช่วยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ในระบอบรัฐสภา แต่โอกาสที่ใครอื่นจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ - อย่าพึงหมายว่าจะได้เป็น ทำให้ผู้นำของพรรคประชาธิปัตย์ตกอยู่ในสภาพที่เหมือนกับเด็กที่ยากจะเติบโตเป็นตัวของตัวเอง และตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้ เพราะกระดิกตัวจะทำอะไรนิดอะไรหน่อย ก็มีแต่ผู้ใหญ่คอยชี้นำ คอยเข้ามาอุ้มชูดูแลและปกป้อง นั่นเอง

เมื่อเย็นวานนี้ ผมไปนั่งดื่มเหล้าที่ร้านคาราโอเกะริมคลองชลประทานใกล้ๆกับหมู่บ้านของผม เพื่อนของน้องชายผมคนหนึ่ง หมอนี่เป็นนายตำรวจยศนายดาบ เป็นคนที่ประกาศตัวเป็นคนเสื้อแดงที่ชอบคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์อย่างเปิดเผย และไม่แคร์ใคร...แม้แต่เจ้านายของเขาที่เขาบอกว่าเป็นพวกคนเสื้อเหลือง อ้อโดยเฉพาะคุณยิ่งลักษณ์นี่ เขาชอบเป็นพิเศษเลยหละ

นายดาบคนที่ว่านี้ เขาเคยพยายามพูดในเชิงตรวจสอบผมมาหลายครั้ง ว่าผมเป็นฝ่ายใดกันแน่ เวลาไปนั่งดื่มที่ร้านเดียวกัน ซึ่งผมก็ได้ให้คำตอบเขาไปหลายครั้งว่า ถ้าฝ่ายใดทำสิ่งที่ถูกต้องผมก็เลือกฝ่ายนั้น แต่ก็พร้อมที่จะยอมรับนับถือในระบอบรัฐสภา แม้ฝ่ายที่ผมไม่ชอบจะได้เข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศตามกติกาการเลือกตั้ง ผมก็จะยอมรับเขา (เพราะเป็นทางเลือกที่เลวน้อยที่สุดที่มีให้เลือก) มาคราวนี้ เขาคงจะฮึกเหิมที่คุณยิ่งลักษณ์มีท่าทีว่าจะได้คะแนนอย่างท่วมท้นในวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ดังนั้น พบกันคราวนี้ นอกจากเขาจะแต่งนอกเครื่องแบบมานั่งกินเหล้าแวดล้อมด้วยลูกน้องที่เป็นนักเลงบ้านทุ่งหน้าตาเหี้ยมๆ 4 - 5 คนแล้ว เขายังเหน็บปืนที่สะเอวตุงชายเสื้อออกมา...พอให้คนเห็นแล้วหวาดเสียวมาด้วย พอเมาได้ที่แล้ว เขาก็พูดถึงคุณยิ่งลักษณ์ว่าจะต้องชนะแบบแบเบอร์ จากนั้นก็หันหน้ามากระแหนะกระแหนเอากับผมที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวว่า
“หรือพี่ว่าไง ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าใครไม่เลือก ยิ่งลักษณ์ หมายเลข 1 ก็ควรเป็นหมากันได้แล้ว !”

พอเขาพูดจบ เหล่าบรรดาเบ๊ของเขาก็ส่งเสียงเฮฮารับลูก ส่วนตัวผมได้แต่นั่งหัวเราะด้วยความขบขัน เพราะไม่นึกว่าจะมาเจอบรรยากาศแบบผู้ร้ายในหนังไทยเชยๆยุคเก่า ที่มายียวนชวนให้วิวาท ณ ที่นี้ด้วยเรื่องการเมือง เพียงเพราะว่าเขาชอบหมายเลข 1 เหลือเกิน แต่ผมกลับไม่ได้แสดงจุดยืนทางการเมืองแบบ เลือกข้าง ให้เขารู้แน่ชัด...เขาก็เลยไม่พอใจ เท่านั้นเอง

ครับ
จากประสบการณ์โดยตรงที่เกิดขึ้นกับผมเรื่องนี้ ผมอยากจะเรียนฝากคุณยิ่งลักษณ์ ช่วยบอกผ่านแกนนำระดับท้องถิ่นของพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ช่วยเตือนๆคนที่ เขาชอบคุณยิ่งลักษณ์ ประมาณนายดาบนี่... ให้ลดการแสดงความฮึกเหิมและความชอบที่มีต่อคุณยิ่งลักษณ์ในที่สาธารณะให้พอเหมาะพองามด้วยนะครับ...

เพราะถ้าขืนมีใคร ที่เขาชอบคุณยิ่งลักษณ์มาแสดงออกถึงขั้นคุกคามผู้อื่นกันแบบนี้สัก 500 คน ทั่วประเทศ ผมว่าคุณยิ่งลักษณ์แย่เลยนะครับ เพราะแม้แต่ผมที่แอบตัดสินใจคนเดียวว่าจะกาบัตรให้คุณยิ่งลักษณ์ เพราะคิดว่า หากโชคดีคุณยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้ง แล้วยักษ์ที่ถือกระบอง เกิดใจดีอนุญาตให้มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีทั้งความสวยและความหมดจดจากพิษของความชั่วร้ายการเมือง...

นั่นคือ ยังไม่มีร่องรอยของความเป็นคนเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้า น่าจะทำให้การเมืองที่น่าเบื่อนี้...มีชีวิตชีวาน่าติดตาม ก็ชักจะลังเลใจเสียแล้ว... ก้อ แหม คนของคุณคิดและพูดออกมาได้ยังไงนะ
“ถ้าใครไม่เลือก ยิ่งลักษณ์ หมายเลข 1 ก็ควรเป็นหมากันได้แล้ว !” (ฮา)
ผมฟังแล้ว...เกือบจะลุกขึ้นไปท้าดวลปืนกันหลังร้านให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่นึกเกรงใจ...ว่าเป็นคนของคุณยิ่งลักษณ์ที่น่ารัก งานนี้สวยแน่...
นายดาบก็นายดาบเหอะว่ะ
คนเหมือนกัน
มิได้กินเหล็กกินไหลมาจากไหนนิหว่า...

22 มิถุนายน 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้