Skip to main content
ชีวิตชาวนาชาวไร่ สินค้าที่ใช้ ร้อยละเก้าสิบเก้าหนีไม่พ้นซื้อจากร้านค้าในหมู่บ้าน นานๆ จะได้เข้าตลาดในอำเภอ หรือ ห้างใหญ่ในตัวจังหวัดเสียที


ก็ของใช้จำเป็นอย่าง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม ฯลฯ มันเป็นของประเภท ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ราคาอาจถูกแพงกว่ากันบ้างไม่กี่บาท น้อยรายที่สนใจรักสวยรักงามถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางค์ราคาเป็นร้อยเป็นพัน หรือ สินค้าเกรดเอ คุณภาพเกินร้อยอย่างที่เขาชอบโฆษณา


กระนั้น ก็ยังมีคน "อยากขาย" จำนวนไม่น้อยที่พยายามแสดงให้เห็นว่าของพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็น

 

พี่ติ๋ม สาวลูกสอง อดีตพนักงานห้างฯ หันมาจับธุรกิจขายตรง หลังจากออกจากงานประจำ เพราะแกเชื่อว่า นี่แหละ คือหนทางของความมั่นคงของชีวิตแก


อาจเพราะ แกเคยขายเครื่องสำอางค์มาหลายยี่ห้อแล้ว พอมาจับธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น(MLM) ชื่อดังระดับโลก แกจึงไม่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากมายนัก


แกได้รับการชักชวนจากเพื่อนคนหนึ่ง โดยเน้นว่า เมื่อเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้วจะทำงานกันเป็นทีม ช่วยเหลือกัน ทั้งในการขายและการขยายธุรกิจจากการหาสมาชิก

 

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พี่ติ๋ม เริ่มต้นจากคนใกล้ตัว ทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่ชาย น้องสาว สามี น้องสามี เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า ฯลฯ

ซึ่งคนที่สมัครด้วยความเห็นใจและอยากช่วย ก็มีมากกว่า ที่สมัครเพราะเข้าใจและสนใจ

 

วันหนึ่ง พี่ติ๋มแวะไปกินลูกชิ้นปิ้งร้านพี่หวี คุยกันสัพเพเหระ พี่ติ๋มก็วกเข้าเรื่อง เอาแคตตาล็อกออกมาเสนอขาย

"...นี่นะพี่หวี น้ำยาซักผ้าตัวนี้นะ พี่หวีใช้แค่ฝาเดียวนะ เสื้อผ้าสกปรกๆ ซักสามสิบ สี่สิบชิ้นนี่รับรองว่าสะอาดเอี่ยมแน่นอน เพราะสินค้าตัวนี้ที่บ้านฉันก็ใช้อยู่ เพิ่งจะซักตากเมื่อเช้าก็มี ไม่เชื่อไปดูได้เลย..." พี่ติ๋ม โฆษณา

"...เออ...เข้าท่าว่ะ บ้านข้าคนเยอะเสียด้วย แล้วซักผ้าทีนะ เนื้อยเหนื่อย...ซักเสร็จต้องนอนพักสักชั่วโมงก่อนล่ะ ถึงจะไปทำอย่างอื่นได้...แล้วมันราคาเท่าไรวะ ?..." พี่หวี ชักสนใจ

"...ขวดนี้สองลิตรนะพี่หวี ราคาสี่ร้อยยี่สิบ..."


พี่หวีวางแคตตาล็อกทันที

"...โห...ทำมั้ยมันแพงจังวะ? ผงซักฟอกกล่องไม่กี่สิบบาทเอง..."

"...โธ่...พี่ นี่มันอย่างดีเลยนะ แล้วพี่ลองคำนวณดู เดือนหนึ่งพี่ใช้ผงซักฟอกกี่กล่อง แต่ขวดนี้พี่ใช้ได้นานตั้งห้าหกเดือน เวลาใช้ก็ใช้แค่นิดเดียว...สะอาดกว่า คุ้มกว่าด้วย จ่ายแพงตอนซื้อแต่ใช้ได้นานนะพี่..."


พี่หวีทำหน้าไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร เพราะถึงแม้สินค้าจะดีเลิสลอยแค่ไหน แต่ถ้าราคาแพงเกินไป มันก็ยากจะตัดสินใจ ทว่า ด้วยการหว่านล้อมของพี่ติ๋มเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ในที่สุด พี่หวีก็จ่ายไปแบบตัดรำคาญ

 

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน พี่ติ๋มผ่านมาเจอพี่หวีที่กำลังซื้อของอยู่เลยแวะคุย

"...ใช้ดีมั้ยพี่?..." พี่ติ๋มถามพี่หวีที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

"...เออ...ใช้ดี ซักผ้าขาวดี สะอาดดี เกลี้ยงดี เงินในกระเป๋าข้าก็เกลี้ยงไปด้วย..." พี่หวีว่า

"...อะไรนะพี่?..."

"...เปล่าๆ ของดี ใช้ดี แต่เอ็งไม่ต้องมาขายบ่อยนะ ข้าไม่มีตังค์จะซื้อแล้ว..."

"...งั้นก็สมัครสมาชิกสิพี่ จะได้ซื้อของราคาถูกๆ แล้วก็ขายสินค้าได้ มีรายได้เสริมด้วยนะ ค่าสมัครแค่เก้าร้อยบาทเอง..."

"...เฮ้ย ! ไม่เอาๆ ข้าไม่มีตังค์แล้ว เดี๋ยวจะรีบซื้อกับข้าวกลับไปทำให้ลูกกิน..."

"...พี่รอแป๊บนึงเดี๋ยวฉันเอารายละเอียดให้นะ..."

ขณะที่พี่ติ๋ม หันไปค้นเอกสารเตรียมจะอธิบายให้พี่หวีฟังเรื่องการสมัครสมาชิก พี่หวีก็สตาร์ทรถเครื่องออกไปทันที

 

ตอนเย็น เจ้าปุ๊กเพื่อนรุ่นน้องคน(เคย)สนิทของพี่ติ๋ม มานั่งปรับทุกข์กับพี่หวี เรื่องพี่ติ๋มที่จ้องแต่จะขายของอย่างเดียว

"...มันเกินไปนะพี่หวี พี่ติ๋มแกกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เมื่อก่อนขายเครื่องสำอางค์ยังไม่เท่าไรนะ มีอะไรก็คุยกันได้ แกก็แนะนำบางตัวให้ใช้ ตัวไหนไม่ดีแกก็ว่าไม่ดี เรื่องสัพเพเหระก็ยังคุยกันได้ แต่พอมาขายยี่ห้อนี้...สินค้าตัวไหนๆ แกก็โม้ได้เป็นคุ้งเป็นแควว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ถามว่าแกใช้หรือเปล่า แกก็บอกว่าเปล่า แต่แกรู้ว่ามันดี...แล้วอย่าเปิดช่องให้เชียวนะ แกจ้องจะขายเลยล่ะ...วันก่อน แกโทรไปหาฉันที่ทำงาน นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไร...เปล่า...แกพยายามจะให้ฉันซื้อเครื่องดูดฝุ่นให้ได้ แกบอกว่า...แค่เครื่องละสามหมื่นสองเอง คุ้มสุดๆ เลยนะ...โห...พูดยังกับว่าฉันเงินเดือนห้าหมื่น...ถ้าฉันมีเงินสามหมื่น ฉันจะซื้อเครื่องดูดฝุ่นมาทำไม ถอยรถเครื่องใหม่มาขับไม่ดีกว่าหรือพี่..." เจ้าปุ๊ก ระบายอย่างเซ็งเต็มทน


"...วันก่อน เจ้าเจี๊ยบมันบอกว่า มันเพิ่งตัดผักเสร็จ มือก็เปื้อนยางผัก ยังไม่ได้ล้าง พอไอ้ติ๋มแวะมานั่งเล่นที่บ้าน มันก็เลยมานั่งคุยด้วย...พอไอ้ติ๋มมันเห็นมือเจ้าเจี๊ยบเท่านั้นแหละ มันบอกเลยว่า ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดของมัน รับรองว่าขจัดได้ทุกคราบสะอาดสุดยอด...แต่ไอ้เจี๊ยบมันบอกว่า ใช้ทำไม แค่สบู่กับน้ำเปล่าก็ล้างออกแล้ว..."

พี่ติ๋มกับเจ้าปุ๊ก หัวเราะครืน แล้วก็ชวนกันนินทาเรื่องของพี่ติ๋มอีกหลายเรื่อง

 

ที่จริง พี่ติ๋มไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแต่พฤติกรรมจ้องจะขายของจนเกือบจะกลายเป็นการยัดเยียด มันทำให้คนฟังอึดอัด


สินค้าน่ะดีจริง ไม่มีใครเถียง แต่ราคาที่สูงขนาดนั้น ชาวนาชาวไร่ไม่ได้มีรายได้แบบคนทำงานประจำ ใครล่ะจะซื้อมาใช้


ของฟุ่มเฟือยแถมราคาแพง คนขายต้องใช้ฝีมือหว่านล้อมมากกว่า ทั้งยังเสี่ยงต่อการที่จะทำให้ชาวบ้านเอือมมากกว่าอีกด้วย

 

ถ้าการไต่ขึ้นไปสู่จุดสุดยอดของความสำเร็จด้วยการเป็นยอดนักขาย คือสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเสียอะไรไปก็ตาม


บางที ลองมองกลับมาบ้างก็ดี ว่าการต้องเสีย "ความสัมพันธ์" กับคนที่เราเคยผูกพันธ์และรู้สึกดีด้วยนั้น

 

มันคุ้มกันจริงหรือเปล่า ?

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…