Skip to main content

ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพวิชาการ ในฐานะผู้ปกครองนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ และในฐานะคนรักศิลปะ ผมเขียนจดหมายนี้เพื่อตั้งคำถามต่อการที่ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์จะตรวจสอบผลงานก่อการอนุญาตให้จัดแสดงผลงานของนักศึกษาภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ

เท่าที่ผมได้ติดตามการจัดการเรียนการสอนของภาควิชานี้มาต่อเนื่องหลายปี และยังได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้กับทั้งกิจกรรมการจัดแสดงผลงานนักศึกษาและผู้บรรยายพิเศษในกิจกรรมต่าง ๆ ของภาควิชา รวมทั้งยังส่งผลงานวิชาการมาร่วมตีพิมพ์วารสารของภาควิชาในฉบับปฐมฤกษ์ ก็เนื่องจากว่าผมเล็งเห็นถึงการให้เสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะและความแข็งแกร่งทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาภาควิชานี้

ในอดีตหลายปีที่ผ่านมา การให้อิสระในการแสดงออกของทั้งอาจารย์และนักศึกษาทำให้ภาควิชานี้ รวมทั้งคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับการกล่าวขานกันกว้างขวางว่า เป็นสถาบันศึกษาศิลปะที่มีมาตรฐานสูง มีความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการและการแสดงออกทางศิลปะในระดับแนวหน้า ไม่เพียงไม่น้อยกว่า แต่ยังอาจจะเหนือกว่าสถาบันศิลปะเก่าแก่บางสถาบันด้วยซ้ำไป  

นั่นย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ปกครองจำนวนมากส่งเสริมให้นักศึกษามาศึกษาเล่าเรียนที่นี่ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้นักศึกษาฝีมือดี ความรู้ดี จำนวนมากตั้งใจมาศึกษาที่นี่ แม้จะด้วยค่าเล่าเรียนในอัตราค่อนข้างสูง เพราะเป็นโครงการพิเศษ  

แต่ในระยะ 2-3 ปีให้หลังนี้ การบริหารคณะวิจิตรศิลป์กลับมีแนวทางที่สวนทางกับทิศทางอันรุ่งเรืองในอดีต จนอาจกล่าวได้ว่า คณะวิจิตรศิลป์ยุคนี้เกิดความมัวหมองตกต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง

นับตั้งแต่กรณีการปรับเปลี่ยนการบริหารงบประมาณของภาควิชาที่ตามระเบียบเดิมเป็นการบริหารที่ภาควิชามีเดียฯ เองมีอิสระในการบริหาร ไปเป็นการบริหารภายใต้อำนาจของคณะ กรณีการไม่อนุญาตให้ใช้หอศิลป์จัดงานแสดงประจำปีของนักศึกษาเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา กรณีการยึดผลงานนักศึกษา กรณีการข่มขู่หรือถึงกับดำเนินคดีทางการเมืองกับนักศึกษา แล้วล่าสุดคือกรณีการตรวจสอบผลงานนักศึกษาก่อนจัดแสดง ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำเยี่ยงนี้มาก่อน  

นั่นทำให้ผมมีคำถามต่าง ๆ แก่ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ เลยเรื่อยไปจนถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนี้

ข้อแรก ผมสงสัยว่าคณะวิจิตรศิลป์ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารชุดปัจจุบันมองว่าศิลปะคืออะไร ศิลปะคือผลงานสวยงามที่จรรโลงความสุขความบันเทิง หรือแม้แต่โน้มนำไปสู่พุทธิภาวะ แก่ผู้ชม ผู้เสพย์ เท่านั้นหรือ หรือที่คับแคบยิ่งกว่านั้นคือ งานศิลปะจะต้องรับใช้หรือสอดคล้องกับค่านิยม ความเชื่อ ความดีงามตามบรรทัดฐานของรัฐบาล ตามบรรทัดฐานของสังคม เท่านั้นหรือ  

ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็คงต้องเลิกสอนศิลปะตะวันตก เลิกสอนแม้กระทั่งศิลปะไทย แล้วหันไปสอนศิลปะมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เขียนงานบนฝาผนังถ้ำ หรือปัจจุบันนี้หากพวกท่านได้ดำเนินการเช่นนั้นไปแล้วหรือกำลังจะปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปดังนั้น ผมก็ขออภัยที่มิได้ล่วงรู้หลักสูตรการเรียนการสอนของคณะฯ ในรายละเอียด

ข้อต่อมา ผมสงสัยว่า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ศิลปะตลอดจนการแสดงออกทางวิชาการ รวมทั้งบทบาทของมหาวิทยาลัย จะทำหน้าที่ผลิตคนป้อนนโยบายรัฐ ป้อนกระแสสังคม เพียงเท่านั้นหรือ บทบาทของศิลปินหรือนักวิชาการ รวมทั้งมหาวิทยาลัย ในทัศนะของผู้บริหารคณะฯ ขุดนี้ คือการผลิตซ้ำวัฒนธรรม อุดมการณ์ ค่านิยม ระบบคุณค่าของสังคมหรือของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม โดยไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อทัดทาน เลยอย่างนั้นหรือ  

แต่หากผู้บริหารคณะฯ ยืนยันว่า แนวทางการบริหารของตนเองไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น ก็โปรดอธิบายให้สาธารณชน อย่างน้อยให้ผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานมาเรียนได้รับรู้ว่า สิ่งที่พวกท่านกำลังกระทำอยู่ ไม่ได้เป็นการปิดกั้นการแสดงออกที่แตกต่างไปจากกรอบบรรทัดฐานของรัฐและสังคมไทยอย่างไร  

ข้อสาม หากผู้บริหารคณะฯ เห็นดังนั้น ทำไมคณะผู้บริหารจึงไม่ประกาศให้ชัดเจนไปเลยว่า คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ส่งเสริมการแสดงออกของนักศึกษา ในแนวทางที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อบรรทัดฐานของรัฐไทยและสังคมไทยทั่วไป คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ส่งเสริมให้เกิดความคิดนอกกรอบ  

ทำไมไม่ประกาศให้ชัดเจนไปเลยเพื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองของนักศึกษา ตลอดจนสาธารณชนจะได้เข้าใจว่า ขณะนี้แนวทางการบริหารงานจะเป็นแบบนี้ หากนักศึกษาและผู้ปกครองไม่ประสงค์จะให้นักศึกษาได้เรียนรู้ศิลปะตามแนวทางคับแคบเช่นนี้ จะได้เลือกหาสถาบันอื่น และหากไม่มีสถาบันอื่นใดให้เสรีภาพในการแสดงออกเลย พวกเขาก็อาจไม่เข้าเรียนสถาบันศิลปะใดในประเทศนี้เลยก็ได้

ข้อสุดท้าย ผมขอถามเลยไปยังผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า การบริหารการศึกษาศิลปะตามแนวทางของผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ชุดปัจจุบันนี้ ได้รับการยอมรับ เห็นดีเห็นงามจากผู้บริหารมหาวิทยาลัย ว่าเป็นไปตามนโยบายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยหรือไม่  

หากเป็นไปตามแนวทางปัจจุบัน มหาวิทยาลัยจะยืนยันหรือไม่ว่าแนวทางนี้ไม่ได้เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะ แล้วถ้าเช่นนั้น จะอธิบายอย่างไรว่าการกระทำต่าง ๆ ของคณะวิจิตรศิลป์ที่ผ่านมาไม่กี่ปีนี้ เป็นการส่งเสริมเสรีภาพการแสดงออกทางศิลปะและวิชาการ  

หรือว่าเอาเข้าจริง ๆ แล้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เองเห็นด้วยว่าจะต้องปิดกั้นการแสดงออกทางศิลปะ ตลอดจนการแสดงออกทางวิชาการในสาขาวิชาอื่น ๆ นั่นหมายความว่า หากผู้บริหารประสงค์จะปิดกั้นการแสดงออกของนักศึกษาก็สามารถกระทำได้ มหาวิทยาลัยจะไม่ทัดทานการปิดกั้นใช่หรือไม่  

หากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับคณะวิจิตรศิลป์ ไม่ทัดทาน ไม่สอบสวนการกระทำอันเข้าข่ายปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกของคณะวิจิตรศิลป์แล้ว ผมก็สงสัยอย่างยิ่งว่า การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ การเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตามทัศนะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็คือการเป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสูงในแง่ของผลผลิต โดยไม่ได้ใส่ใจกับคุณค่าของเสรีภาพการแสดงออก ไม่ได้ใส่ใจกับการให้อิสระในการแสดงความคิดเห็น ที่อาจจะแหวกขนบ นอกกรอบ แตกต่างไปจากบรรทัดฐานของสังคมเลยอย่างนั้นหรือ

ถึงที่สุดแล้ว หากงานศิลปะ งานวิชาการ และมหาวิทยาลัยไม่ต้องแสดงบทบาทในการแสวงหาทางเลือกที่ดีกว่าแก่สังคม ไม่สอนให้คิดนอกกรอบ ไม่สอนให้เกิดความคิดวิพากษืวิจารณ์ ผมสงสัยว่าเราจะมีมหาวิทยาลัยไปเพื่ออะไรกัน หรือไม่เช่นนั้น มหาวิทยาลัยก็ดำเนินกิจการต่อไปนั่นแหละ แต่ควรสำนึกในใจให้ดัง ๆ ว่า พวกคุณกำลังดำเนินกิจการโรงเรียนดัดสันดานหรือกลไกการโฆษณาชวนเชื่อของผู้มีอำนาจ มากกว่าจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา

หากไร้ซึ่งเสรี จะมีศิลปะไว้ทำไม

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
การดีเบตระหว่างนักเรียนกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการที่หน้ากระทรวงฯ เมื่อวาน (5 กย. 63) ชี้ให้เห็นชัดว่า หากยังจะให้คนที่มีระบบคิดวิบัติแบบนี้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการอยู่ ก็จะยิ่งทำให้การศึกษาไทยดิ่งลงเหวลึกไปยิ่งขึ้น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ประเด็น "สถาบันกษัตริย์" ในประเทศไทยปัจจุบันไม่ใช่เรื่องศีลธรรมและไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึก แต่เป็นเรื่องของสถาบันทางการเมืองและการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองไทย ถ้าไม่เข้าใจตรงกันแบบนี้ก่อนก็จะไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ฟัง/อ่านข้อเสนอของนักศึกษา/ประชาชนที่เสนอในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวานนี้ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปีนี้ผมอายุ 52 ผมคิดอยู่ตลอดว่า ถ้าพ่อแม่เสียไป ผมจะดัดแปลงบ้านที่อยู่มายังไง จะรื้ออะไร ย้ายอะไร ผมไม่มีลูก ม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างที่สาธารณชนและแม้แต่นักกฎหมายเองก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผลทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง และความเหลวแหลกของกลไก เกม และสถาบันการเมืองในขณะนี้ คือเงื่อนไขเฉพาะหน้าที่ทำให้เยาวชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นคนหน้าใหม่ของการเมืองไทย ในหลายพื้นที่กระจายไปทั่วประเทศ ลุกขึ้นมาแสดงออกทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่มีความขัดแย้งรอบใหม่ในกลางทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วินาทีที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ความสำคัญไม่ใช่ว่าพรรคการเมืองหนึ่งถูกยุบไปหรอก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้มีอำนาจกำลังสร้างความแตกร้าวครั้งใหม่ที่พวกเขาอาจจะพบปฏิกิริยาโต้ตอบที่ไม่เหลือเศษซากอะไรให้กอบกู้โลกเก่าของพวกเขากลับมาได้อีกต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อสังเกตจากการแถลงของ ผบทบ. ล่าสุด แสดงการปัดความรับผิดชอบของผู้นำกองทัพไทยอย่างเห็นได้ชัดดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเหตุการณ์ #กราดยิงโคราช เราเห็นอะไรเกี่ยวกับทหารไทยบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การเสียสละกับการรักษาหลักการมักถูกนำมาใช้อ้างหรือมากกว่านั้นคืออาจมีส่วนใช้ในการตัดสินใจ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
พวกคุณไม่ได้เพียงกำลังทำลายพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง หรือกลุ่มการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่พวกคุณกำลังทำลายความหวังที่คนจำนวนมากมีต่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นใหม่ที่เริ่มสนใจประเทศชาติ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาวเบี๋ยนเป็นศิลปินอาวุโสชาวไต/ไท ในเวียดนาม ผมรู้จักกับท่านมาร่วม 15 ปีแล้ว ตั้งแต่เมื่อพบกันครั้งแรกๆ ก็ถูกชะตากับท่าน ผมจึงเพียรไปหาท่านหลายต่อหลายครั้ง ที่ว่าเพียรไปหาไม่ใช่แค่เพราะไปพบท่านบ่อย แต่เพราะการไปพบท่านเป็นเรื่องยากลำบากมาก เมืองที่ท่านอยู่ชื่อเมืองล้อ หรือเรียกแบบสยามๆ ก็เรียกว่าเมืองลอก็ได้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว