ก่อนหน้านี้ผมเคยมีปัญหาซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือจากร้านค้าใกล้บ้านแล้วถูกบวกค่าขนส่งและพื้นที่เก็บสินค้าเพิ่ม ทำให้ต้องถ่อสังขารไปซื้อบัตรเติมเงินที่ 7-11 หน้าปากซอย ไม่ใช่ว่าผมชอบร้านใหญ่แอร์เย็นๆ หรือไม่เต็มใจจะสนับสนุนร้านค้าชุมชนของคนไทยหรอกนะครับ แต่เงิน 5 บาท ที่ต้องเสียไปเมื่อซื้อบัตรเติมเงิน 50 บาท บ่อยครั้งเข้ามันก็ชักจะไม่ไหว ถ้าลองคำนวณแล้วนี่มันบวกเพิ่มตั้ง 10 เปอร์เซ็นต์เลยนะครับ
ทำอย่างนี้มันเหมือนเห็นบัตรเติมเงินเป็นล็อตเตอรี่เวลาขายต้องบวกเพิ่มค่าลุ้นเสียงโชค ถึงจะต้องขูดตัวเลขเอาระหัส แต่มันไม่ใช่เกมส์ชิงรางวัลนะคราบพี่น้อง ไม่มีให้ลุ้นเงินล้าน จะลุ้นก็แต่ระบบจะมีปัญหาเติมเงินไม่ได้ ทำไมต้องบวกราคาเพิ่มไม่เข้าใจ
ช่วงหลังนี่ถ้าผมอยากอุดหนุนป้าร้านค้าใกล้บ้าน ก็ต้องตัดใจซื้อบัตรเติมเงินที่ติดราคา 300 บาทในราคา 305 บาท เพื่อซื้อความสบายที่จะไม่ต้องเดินไกล และรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบน้อยลง
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ผมกลับบ้านและได้คุยกับแม่ถึงเรื่องนี้ก็เจอปัญหาเข้าอีกจนได้ เพราะแม่ผมเติมเงินมือถือเองไม่เป็น ต้องไปให้ที่ร้านขายมือถือช่วยเติมเงินให้ แม่บอกว่าให้คนขายช่วยกดให้จะได้ไม่ผิดพลาด แถมเติมที่ละน้อยๆ ได้ (ส่วนใหญ่แม่จะมีมือถือเพื่อรับสายเสียมากกว่า) ก็อย่างที่รู้ว่าตอนนี้ตามร้านค้ามีบริการเติมเงินแบบออนไลน์ซึ่งตามความเข้าใจของผมเวลาเติมเงินจะไม่ต้องเสียค่าบริการ แต่แต่ละครั้งที่แม่ผมไปเติมเงินโทรศัพท์ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นค่ากดตัวเลขให้คนขาย ถึงแม้แม่จะบอกว่ามันแค่ไม่กี่บาท แต่คำถามก็คือมันเป็นความรับผิดชอบที่เราในฐานะผู้บริโภคต้องเป็นคนจ่ายด้วยหรือ
อ้อลืมบอกไป แม่ผมใช้เครือข่ายความสุขครับแต่ดูว่าตอนนี้จะไม่ค่อยน่าสุขเท่าไหร่แล้วหละครับ
ผมเข้าใจว่าตามหลักการค้าทั่วไปคนขายบัตรเติมเงินและคนให้บริการเติมเงินออนไลน์ ควรได้รับเงินส่วนต่างจากการซื้อมาและขายไปอยู่แล้ว (ถ้าทำแล้วไม่มีรายได้คงไม่มีคนทำอาชีพนี้) ดังนั้นจึงตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นว่าเป็นเพราะค่ายมือถือให้ส่วนแบ่งคนทำธุรกิจเหล่านี้น้อยเกินไป หรือในอีกแง่คือคนทำธุรกิจนี้คิดถึงผลประโยชน์มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าร้านค้าที่จะมาแข่งขันด้วยมีน้อย
อันที่จริงโทรศัพท์มือถือตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอีกอันหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผู้คนไปแล้ว แม้จะมีการแข่งขันในตลาดอยู่มาก ทำให้มีโปรโมชั่นของค่ายต่างๆ ออกมายั่วใจผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งลด (ราคาค่าโทรบางช่วงเวลา) แลก (เวลาที่เหลือเป็นเงินค่าโทรได้) แจก (เงินค่าโทรให้เมื่อโทรเกินค่าโทรที่ตั้งไว้) และแถม (เอสเอ็สเอส หรือชั่วโมงอินเตอร์เน็ต) แต่นั่นไม่ได้ลดทอนรายได้ของบริษัทเจ้าของสัมปทานคลื่นมือถือลงเลย
ตลาดลูกค้าโทรศัพท์มือถือเหล่านี้กว้างขวางไปถึงเด็กวัยไม่กี่ขวบปีที่เริ่มพูดคุยได้ ในส่วนผู้ใหญ่หลายคนก็มีหลายเครื่องหลายซิม อีกทั้งธุรกิจนี้ก็กว่างไกลเกินกว่าแค่การพูดคุยสื่อสาร เพราะบัจจุบันมือถือมีบริการต่างๆ ทั้งเสียงรอสาย ฟังเพลง ดูดวง เล่นเกมส์ เล่นอินเตอร์เน็ต เอสเอ็มเอสข่าว หรือแม้กระทั่งการขายตรงสินค้าและบริการ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจทำเงินจากผู้บริโภคบนโครงข่ายคลื่นความถี่ได้อีกต่อหนึ่ง
ดังนั้น ผมคิดว่าการที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกจากราคาค่าเติมเงินที่บริษัทผู้ให้บริการได้ตั้งไว้โดนคำนวณผลกำไรไว้แล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก
นอกจากนั้น การที่จะให้ผู้บริโภคลุกขึ้นมาโวยวาย หรือร้านไหนเก็บเพิ่มก็ไม่ต้องเข้า เดี๋ยวก็เลิกขายเอง ในหลายครั้ง สำหรับหลายคนก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ อย่างผมอาจมีทางเลือกที่จะเดินไกลหน่อยเพื่อไปซื้อบัตรเติมเงินที่ 7-11 หน้าปากซอย แม่อาจซื้อบัตรเติมเงินเอามาให้เพื่อนที่ทำงานช่วยเติมเงินให้ บางคนอาจใช้วิธีเติมเงินจากเว็บไซต์แล้วให้ตัดบัญชีบัตรเครดิตหรือบัญชีเงินฝาก บางคนอาจเติมเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม บางคนอาจใช่บริการตู้เติมเงินมือถืออัตโนมัติ หรือบางคนอาจตัดปัญหาด้วยการใช้บริการโทรศัพท์มือถือแบบรายเดือน
แต่สำหรับคนที่ไม่รู้เทคโนโลยี ไม่ได้ติดตามข่าวสาร และไม่ได้มีเงินมากที่จะซื้อบัตรเติมเงินในราคาขั้นต่ำ เขาจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกินมาเหล่านี้อย่างนั้นหรือ...