Skip to main content

เทคโนโลยีปริศนาชิ้นใหม่ถือกำเนิดขึ้นอย่างดูไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นผลของการศึกษาค้นคว้าอย่างเข้มข้นกว่าสองทศวรรษ ถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักวิจัยที่แทบไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นใคร

ในสายตาของผู้ใฝ่ฝันถึงการเมืองในอุดมคติ มันคือเค้าลางของการปลดปล่อยและการปฏิวัติ ขณะที่ชนชั้นปกครองต่างรุมสบประมาทและเย้ยหยันว่ามันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน

อีกด้านหนึ่งเนิร์ดสายเทคทั้งหลายมองมันด้วยความตื่นตะลึง พวกเขาเล็งเห็นศักยภาพมหาศาล และอุทิศเวลาว่างให้กับการถอดรื้อซ่อมสร้างเทคโนโลยีชิ้นใหม่

ท้ายที่สุด เทคโนโลยีนั้นกลายเป็นสินค้ายอดนิยมที่บริษัทและอุตสาหกรรมต่างๆ หันมาผลิตและจัดจำหน่าย มันเปลี่ยนโลกทั้งใบและทำให้หลายคนฉงนสงสัยกันต่อมา ว่าเหตุใดศักยภาพอันทรงพลังของมันจึงไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่เรามาตั้งแต่ต้น

เทคโนโลยีที่ผมกำลังพูดถึงคืออะไร ในปี 1975 มันคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในปี 1993 มันคืออินเตอร์เน็ต และในปี 2014 ผมเชื่อว่ามันคือบิตคอยน์

ไม่น่าจะมีใครหาว่าบิตคอยน์เป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้กัน แต่สิ่งที่สื่อกับคนทั่วไปหลายคนเชื่อเกี่ยวกับบิตคอยน์ แตกต่างจากสิ่งที่นักเทคโนโลยีที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันเชื่อกันอยู่มากทีเดียว ในบทความนี้ ผมจะอธิบายว่าทำไมบิตคอยน์จึงทำให้โปรแกรมเมอร์และผู้ประกอบการในซิลิคอนวัลเลย์ตื่นเต้นนักหนา และผมมองว่าบิตคอยน์จะมีทิศทางอย่างไรต่อไปในอนาคต

เรื่องแรกเลยคือ โดยพื้นฐานที่สุดแล้วบิตคอยน์เป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาการคอมพิวเตอร์ บิตคอยน์พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยด้านสกุลเงินแบบเข้ารหัส (cryptographic currency) ที่สั่งสมมากว่า 20 ปี และงานวิจัยด้านวิทยาการเข้ารหัสที่ศึกษากันมากว่า 40 ปี โดยนักวิจัยมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกมุมโลก

บิตคอยน์คือการแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานในแวดวงวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “ปัญหานายพลไบแซนไทน์” (Byzantine Generals Problem) อย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก บทความชิ้นแรกที่กล่าวถึงปัญหานี้เขียนเอาไว้ว่า “[ลองนึกภาพ] นายพลของกองทัพไบแซนไทน์กลุ่มหนึ่งนำกองทัพตั้งค่ายอยู่รอบเมืองศัตรู นายพลเหล่านี้ต้องตกลงแผนการรบกันให้ลงตัวโดยวิธีการสื่อสารกันมีวิธีเดียวคือใช้คนส่งสาร แต่เป็นไปได้ว่านายพลคนใดคนหนึ่งอาจเป็นไส้ศึกที่พยายามล่อลวงให้คนอื่นๆ สับสน ปัญหาในที่นี้คือ จงหาอัลกอริธึมที่จะทำให้มั่นใจได้ว่านายพลที่ซื่อสัตย์จะสามารถตกลงกันได้ในที่สุด”

พูดอีกอย่างคือ ปัญหานายพลไปแซนไทน์ตั้งคำถามว่า เราจะทำให้ฝ่ายต่างๆ ที่เป็นอิสระจากกันไว้เนื้อเชื่อใจกันบนเครือข่ายที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร

ผลลัพธ์ภาคปฏิบัติจากการแก้ปัญหานี้ได้ คือบิตคอยน์ทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตคนหนึ่งสามารถส่งสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใครชิ้นหนึ่งให้กับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอีกคนหนึ่งได้เป็นครั้งแรก โดยที่การแลกเปลี่ยนที่ว่านั้นได้รับการรับรองว่าปลอดภัย มั่นใจได้ ทุกคนรู้ว่ามีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น และไม่มีใครสามารถท้าทายความถูกต้องของการแลกเปลี่ยนนั้นได้เลย ผลลัพธ์ของความก้าวหน้าครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก

แล้วสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทไหนบ้างที่แลกเปลี่ยนกันได้ในลักษณะนี้ ลองนึกถึงลายเซ็นดิจิทัล สัญญาดิจิทัล กุญแจดิจิทัล (ทั้งที่ใช้ไขตัวล็อคจริงๆ หรือตัวล็อคในโลกออนไลน์) ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น รถยนต์หรือบ้าน ในรูปแบบดิจิทัล หุ้นและพันธบัตรดิจิทัล … และเงินดิจิทัล

ทั้งหมดถูกแลกเปลี่ยนกันผ่านเครือข่ายของความเชื่อใจแบบกระจายศูนย์ที่ไม่ต้องอาศัยหรือพึ่งพาตัวกลางในการแลกเปลี่ยนอย่างธนาคารหรือโบรคเกอร์ ในแง่นี้จึงมีแค่ผู้ที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นเท่านั้นที่สามารถส่งมันให้คนอื่น และมีแต่ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้รับเท่านั้นที่รับมันได้ สินทรัพย์สามารถมีอยู่ได้แค่ในที่ที่เดียว และทุกๆ คนสามารถตรวจสอบการแลกเปลี่ยนและความเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นเมื่อใดก็ได้

 

บิตคอยน์ทำงานอย่างไร

บิตคอยน์คือสมุดบัญชีแบบกระจายศูนย์ไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ต คุณสามารถเป็นเจ้าของสมุดบัญชีนี้ได้ด้วยการซื้อพื้นที่บนหน้าสมุดบัญชีจำนวนหนึ่งด้วยเงินสด หรือขายสินค้าหรือบริการเพื่อแลกกับบิตคอยน์ คุณขายสมุดบัญชีนี้ได้ด้วยการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ของคุณกับคนอื่นที่อยากจะเป็นเจ้าของสมุดบัญชีนี้ ใครก็ตามในโลกสามารถซื้อหรือขายสมุดบัญชีนี้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร และมีค่าธรรมเนียมต่ำมากๆ หรือเท่ากับศูนย์ คำว่า “คอยน์” ในบิตคอยน์ก็คือ “พื้นที่” (slots) บนหน้าสมุดบัญชี คล้ายๆ กับที่นั่ง (seats) ในตลาดหลักทรัพย์ ต่างกันตรงที่ว่าบิตคอยน์สามารถนำไปใช้กับการแลกเปลี่ยนในโลกแห่งความเป็นจริงได้กว้างขวางกว่ามาก

สมุดบัญชีบิตคอยน์คือระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ใครก็ตามในโลกสามารถจ่ายเงินให้กับใครก็ได้ด้วยบิตคอยน์มูลค่าเท่าใดก็ได้ ด้วยการแลกเปลี่ยนความเป็นเจ้าของพื้นที่ในสมุดบัญชีนี้เท่านั้น ใส่มูลค่าเข้าไป ส่งต่อให้คนอื่น ผู้รับรับมูลค่านั้นมา ไม่ต้องขออนุญาตใคร และในหลายๆ กรณีไม่มีค่าธรรมเนียม

ส่วนสุดท้ายนี้เองที่สำคัญยิ่ง บิตคอยน์คือระบบการชำระเงินแรกบนโลกอินเตอร์เน็ตที่ธุรกรรมใดๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีค่าธรรมเนียมหรือมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก (หลักไม่กี่บาท) ระบบการชำระเงินที่มีอยู่ปัจจุบันล้วนแต่เก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 2-3 เปอร์เซนต์ และนั่นคือกรณีของประเทศที่พัฒนาแล้ว หลายที่ทั่วโลกไม่มีระบบการชำระเงินที่ทันสมัย หรือไม่อัตราค่าธรรมเนียมก็สูงมากๆ เดี๋ยวผมจะกลับมาพูดถึงประเด็นนี้อีกครั้ง

บิตคอยน์คือตราสารระบุผู้ถือที่อยู่ในรูปดิจิทัล มันคือวิธีการแลกเปลี่ยนเงินหรือสินทรัพย์ระหว่างกันโดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจ ตัวเลขที่เรียงต่อกันชุดหนึ่งถูกส่งด้วยอีเมลหรือข้อความตัวอักษรในรูปแบบที่ง่ายที่สุด ผู้ส่งและผู้รับไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือเชื่อใจกันและกัน ไม่มีการปฏิเสธการชำระเงิน (ส่วนนี้เองที่บิตคอยน์เป็นเหมือนเงินสดเป๊ะๆ) ถ้าคุณมีเงินหรือสินทรัพย์จึงจะสามารถใช้มันจ่ายได้ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ นี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรูปดิจิทัลมาก่อนเลย

บิตคอยน์คือสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าสัมพันธ์โดยตรงกับของสองอย่าง คือประโยชน์ในการใช้ชำระเงินในปัจจุบัน (ปริมาณและความรวดเร็วของการชำระเงินที่เกิดขึ้นผ่านสมุดบัญชี) และการคาดการณ์ถึงประโยชน์ในการใช้ชำระเงินในอนาคต หลายคนสับสนกับประเด็นนี้ เพราะสกุลเงินที่เรียกว่าบิตคอยน์ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ดีๆ ก็มีมูลค่าขึ้นมา จากนั้นผู้คนจึงเอามันไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน แต่เพราะผู้คนสามารถใช้บิตคอยน์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ (ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่มีการฉ้อโกง และค่าธรรมเนียมต่ำมากหรือไม่มีเลย) บิตคอยน์จึงมีมูลค่า

อาจจะจริงที่ในตอนนี้มูลค่าของบิตคอยน์เป็นเรื่องของการเก็งกำไรมากกว่าปริมาณการใช้งานจริง แต่ก็จริงเช่นกันที่การคาดการณ์หรือเก็งกำไรเป็นการวางรากฐานให้สกุลเงินที่ใช้ชำระเงินได้จริงๆ นี้มีมูลค่าที่สูงพอ

บิตคอยน์จำเป็นต้องมีมูลค่าบางอย่างก่อนจึงจะมีคนมาใช้งานมันในโลกแห่งความเป็นจริง นี่คือปัญหาเรื่อง “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน” ที่เกิดกับเทคโนโลยีใหม่ๆ กล่าวคือเทคโนโลยีใหม่จะมีมูลค่าไม่มากนักจนกว่าจะมีมูลค่าสูงมากๆ ไปแล้ว ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าบิตคอยน์มีมูลค่าสูงขึ้นส่วนหนึ่งเพราะการเก็งกำไรกับอนาคตจึงทำให้การใช้งานบิตคอยน์เกิดขึ้นจริงได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

มีคนวิจารณ์ว่าผู้บริโภคและร้านค้าทั่วไปไม่นิยมใช้งานบิตคอยน์ แต่สมัยที่คอมพิวเตอร์พีซีและอินเตอร์เน็ตออกมาใหม่ๆ ก็โดนวิจารณ์แบบเดียวกันเลย มีผู้บริโภคและพ่อค้าแม่ขายทั่วโลกซื้อ ใช้ และขายบิตคอยน์มากขึ้นทุกวัน ตัวเลขรวมๆ อาจจะยังไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้งานบิตคอยน์ยังง่ายดายขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับทุกฝ่ายเมื่ออุปกรณ์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับบิตคอยน์พัฒนาขึ้น อย่าลืมว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตก็เคยเป็นเรื่องที่วุ่นวายทีเดียวในทางเทคนิค แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว

ข้อวิจารณ์ว่าร้านค้าจะไม่รับชำระเงินด้วยบิตคอยน์เพราะราคาของมันผันผวนก็ไม่จริงเช่นกัน เราสามารถใช้บิตคอยน์เป็นระบบการชำระเงินแบบครบวงจรได้เลย พ่อค้าแม่ค้าไม่จำเป็นต้องถือสกุลเงินบิตคอยน์ใดๆ ไว้หรือต้องเผชิญกับความผันผวนใดๆ เลย ผู้บริโภคหรือผู้ขายสามารถซื้อขายบิตคอยน์กับสกุลเงินอื่นๆ เมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ

แล้วเหตุใดพ่อค้าแม่ค้าทั้งในโลกออนไลน์หรือในโลกแห่งความเป็นจริงจึงอยากรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ ทั้งที่ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีลูกค้าใช้บิตคอยน์ชำระเงินกันมากนัก? ไม่นานมานี้ คริส ดิกซัน เพื่อนของผม ยกตัวอย่างไว้แบบนี้

“สมมติว่าคุณขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในโลกออนไลน์ ปกติธุรกิจแบบนี้จะมีกำไรต่ำกว่า 5 เปอร์เซนต์ ซึ่งก็แปลว่าค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่ปกติอยู่ที่ 2.5 เปอร์เซนต์ก็กินกำไรไปครึ่งหนึ่งแล้ว เงินก้อนนั้นสามารถเอาไปลงทุนใหม่ ส่งคืนให้ผู้บริโภค หรือจ่ายเป็นภาษีให้รัฐบาลก็ได้ จากตัวเลือกทั้งหมดที่มี การจ่ายเงิน 2.5 เปอร์เซนต์ให้ธนาคารเอาไปเปลี่ยนตัวเลขเล็กๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตเป็นตัวเลือกที่ห่วยที่สุด ปัญหาอีกอย่างเกี่ยวกับการชำระเงินที่ร้านค้าต้องเจอคือการรับชำระเงินระหว่างประเทศ ถ้าสงสัยว่าทำไมสินค้าหรือบริการโปรดของคุณจึงไม่มีขายหรือให้บริการในประเทศของคุณเอง คำตอบก็มักเป็นเพราะการชำระเงินนั่นแหละ”

ยิ่งไปกว่านั้น ร้านค้ายังชื่นชอบบิตคอยน์มากด้วยเพราะมันช่วยลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงผ่านบัตรเครดิต นี่คือการฉ้อโกงที่มิจฉาชีพหลายคนชอบมากจนพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและรหัสบัตรเครดิตของลูกค้า

เมื่อบิตคอยน์เป็นตราสารระบุผู้ถือที่อยู่ในรูปดิจิทัล ผู้รับจึงไม่ได้รับข้อมูลใดๆ ของผู้ส่งที่สามารถใช้เพื่อขโมยเงินจากผู้ส่งได้ในอนาคต ไม่ว่าเป็นการขโมยโดยร้านค้าหรือมิจฉาชีพที่ขโมยข้อมูลจากร้านค้าไปอีกทีนึงก็ตาม

กลโกงผ่านบัตรเครดิตเป็นปัญหาใหญ่สำหรับร้านค้า ผู้ให้บริการบัตรเครดิต และธนาคาร จนทำให้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงออนไลน์ระงับทุกธุรกรรมที่ดูน่าสงสัยนิดๆ ทันทีไม่ว่านั่นจะเป็นธุรกรรมที่ฉ้อโกงจริงหรือไม่ก็ตาม สิ่งนี้ส่งผลให้ร้านค้าออนไลน์หลายแห่งถูกบังคับให้ต้องปฏิเสธคำสั่งซื้อราว 5-10 เปอร์เซนต์ ซึ่งหากรับชำระด้วยบิตคอยน์ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยเพราะฉ้อโกงกันไม่ได้ เมื่อการสั่งซื้อและชำระเงินผ่านบิตคอยน์เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว นี่จึงเป็นวิธีการชำระเงินที่สร้างกำไรให้แก่ร้านค้าได้มากที่สุด การรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์จึงเป็นการเพิ่มกำไรให้แก่ร้านค้าเป็นอย่างมาก

คุณสมบัติในการต่อต้านการฉ้อโกงของบิตคอยน์ยังสามารถใช้งานกับร้านค้าและนักช้อปในโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วย

เช่น ถ้าใช้บิตคอยน์ การแฮกระบบครั้งใหญ่ซึ่งเพิ่งขโมยข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้ากว่า 70 ล้านคนจากห้างทาร์เก็ตก็จะไม่เกิดขึ้น มันทำงานแบบนี้

คุณหยิบสินค้าใส่รถเข็น แล้วเดินไปเคานเตอร์จ่ายเงินแบบที่ทำเป็นปกติ แต่แทนที่จะยื่นบัตรเครดิตเพื่อชำระเงิน คุณจะหยิบมือถือออกมาสแกนคิวอาร์โค้ดที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอของเคานเตอร์จ่ายเงิน คิวอาร์โค้ดจะระบุข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นในการส่งบิตคอยน์ให้กับห้างทาร์เก็ต รวมถึงยอดเงินด้วย จากนั้นก็กด “ตกลง” บนมือถือ เท่านั้นก็เรียบร้อย (รวมถึงการแลกเงินดอลลาร์จากบัญชีของคุณเป็นบิตคอยน์ในกรณีที่คุณไม่มีบิตคอยน์เลยด้วย)

ห้างทาร์เก็ตแฮปปี้เพราะได้เงินแล้วในรูปของบิตคอยน์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์ได้ทันทีถ้าต้องการ และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากหรือเท่ากับศูนย์ ส่วนคุณก็แฮปปี้เพราะไม่มีทางที่แฮกเกอร์จะขโมยข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของคุณได้ ส่วนคนที่ไม่แฮปปี้ก็คือแกงค์มิจฉาชีพ (โอเค มิจฉาชีพบางคนอาจจะยังแฮปปี้อยู่ เพราะยังสามารถขโมยเงินจากระบบคอมพิวเตอร์ของร้านค้าที่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่ค่อยดีได้ตรงๆ เลย แต่ต่อให้ทำสำเร็จ ผู้บริโภคก็ไม่ต้องเสี่ยงจะสูญเงิน โดนโกง หรือโดนคนอื่นสวมรอย)

สุดท้ายนี้ ผมอยากพูดถึงประเด็นของผู้วิจารณ์บางคนที่อ้างว่า บิตคอยน์คือสวรรค์ของการกระทำผิด ของบรรดามิจฉาชีพและผู้ก่อการร้ายในการส่งเงินโดยไม่ระบุตัวตนและไม่ต้องรับผิด เรื่องนี้เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วถูกส่งเสริมโดยสื่อที่ชอบพาดหัวเอามันส์ บวกกับความเข้าใจไม่สมบูรณ์นักเกี่ยวกับเทคโนโลยี บิตคอยน์เป็นการใช้นามแฝง แต่ไม่ได้นิรนาม คล้ายๆ กับอีเมลที่สามารถตามรอยได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ธุรกรรมทั้งหมดในเครือข่ายบล็อกเชนยังสามารถติดตามย้อนหลังได้ ถูกล็อกไว้บล็อกเชนของบิตคอยน์ตลอดไปหรือบันทึกไว้อย่างถาวร และใครๆ ก็สามารถเข้าไปดูได้ ด้วยเหตุนี้ บิตคอยน์จึงช่วยให้ผู้บังคับใช้กฎหมายสามารถติดตามเส้นทางของการทำธุรกรรมได้ง่ายกว่าเงินสด ทองคำ และเพชรอย่างมหาศาล

[มีต่อตอนต่อไป]

บล็อกของ Apolitical

Apolitical
ขอขอบคุณ พอล ดีแลน-เอนนิส ที่ช่วยอ่านและให้ความเห็น
Apolitical
ไซเฟอร์พังก์ (Cypherpunks) เชื่อว่าความเป็นส่วนตัว (privacy) คือสิ่งที่ดีและอยากให้โลกนี้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาเข้าใจว่าหากต้องการความเป็นส่วนตัว เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ใช่รอให้รัฐบาล บริษัท หรือองค์กรขนาดใหญ่ไร้ตัวตนเมตตามอบให้ ไซเฟอร์พังก์รู้ว่ามนุษย์ปกป้องความเป็นส่วนตัวของตัวเอง
Apolitical
บิตคอยน์จะเป็นอย่างไรต่อไป