'คนบ้ากับกัลยาณมิตร'
ประมาณปี 2531 ผมพยายามแสวงหาที่พักพิงทางใจให้กับตัวเอง ผมพาเรือนกายซูบผอม ผมเผ้ารุงรัง ใส่กางเกงยีนส์ขาด รองเท้าแตะ เดินเข้าวัดธรรมกาย
ตอนนั้นธรรมกายกำลังถ่ายภาพทำประชาสัมพันธ์ มีภิกษุจำนวนมากมายืนเข้าแถวบนลานกว้าง มีรถเครนสูงจนสุดสูง มีคนถ่ายภาพลงมายังกลุ่มภิกษุของธรรมกาย
หญิงนุ่งขาวคนหนึ่งท่าทางสงบเยือกเย็นกับพวกอีกหลายคน เดินมาคุมตัวให้ผมออกจากธรรมกาย พวกเธอเรียกตัวเองว่าเป็น'กัลยาณมิตร'
ผมแจ้งความประสงค์ว่าผมมาขอยืนดูเฉยๆ แต่เธอบอกผมว่า 'ที่นี่ไม่ต้อนรับคนบ้า'
๐๐๐๐
'กิจกรรมขัดวิมานของวัดธรรมกาย'
ประมาณปี2532 ผมทำกิจกรรมนักศึกษา ช่วงเวลานั้น ธรรมกายเข้ามามีอิทธิพลในชมรมพุทธศาสนาของหลายๆสถาบันการศึกษา
ที่เลวร้ายมากกว่านั้น อาจารย์ในสถาบันที่ผมเรียนก็ศรัทธาในลัทธิธรรมกายไปด้วย ซ้ำร้าย แกเป็นรองอธิการฯฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา
ระเบียบในปีนั้นระบุว่า นศ.ใหม่ต้องไปอบรมที่วัดธรรมกาย3วัน ผมในฐานะรุ่นพี่ทำงานในสโมสรก็เลยติดตามไปด้วย
มีกิจกรรมน่าขันหลายอย่าง อาทิ การเวียนเทียนใส่บาตร ธรรมกายให้ นศ.ซื้อปลากระป๋องของทางวัดแล้วก็เอามายืนเข้าแถวใส่บาตรให้พระในวัด มันตลกตรงที่ปลากระป๋องไม่พอ เนื่องจาก นศ.เยอะมาก ธรรมกายก็เลยเอาปลากระป๋องจากบาตรใส่เข่งมาขายให้ นศ.ใช้ใส่บาตรต่อ
ผมเลยถึงบางอ้อเข้าใจคำว่า'พุทธพานิชย์'
มีกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
นอกจากกิจกรรม ตักบาตรเวียนเทียน นั่งสมาธิเพ่งลูกแก้ว แล้ว ทางธรรมกายยังมีกิจกรรมชื่อไพเราะ ฟังดูน่าสนใจเรียกว่ากิจกรรม"ขัดวิมาน"
ผู้ควบคุมกิจกรรมบอกว่าอัตตาเป็นสิ่งเลวร้าย ขัดวิมานเป็นกิจกรรมสลายอัตตา
กระบวนการสลายอัตตาของธรรมกายก็คือให้ นศ.ใหม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนใช้มือเปล่าขัดบริเวณคอห่านของห้องน้ำในวัด
ผมโชคดีที่ไม่ต้องทำเพราะเป็นรุ่นพี่มาดูรุ่นน้องทำกิจกรรมเฉยๆ แต่ผมก็โชคร้ายเช่นกันที่มีน้องจำนวนหนึ่งมาปรึกษาว่าไม่อยากทำ
ผมบอกกับรุ่นน้องกลุ่มนั้นว่าพวกเขามีสิทธิเต็มที่ๆจะไม่ทำกิจกรรมอุบาทว์แบบนั้น ถ้าพวกเขาไม่เต็มใจ
ผลก็คือ นศ.แทบทั้งหมดพร้อมใจกันไม่ทำกิจกรรม ขัดวิมาน 'กัลยาณมิตร' เริ่มเพ่นพ่าน ดูร้อนรน อธิการบดีและ รอง อธิการฯฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา ลงมาเจรจากับ นศ.เอง
ผู้บริหารสถาบันการศึกษาพยายามกล่อมให้นักศึกษาทำกิจกรรมโดยยกข้ออ้างผลดีสารพัน ผมเลยเสนอไปในวงเจรจาว่า ถ้าจะให้นักศึกษาขัดวิมานก็ขอเชิญให้อธิการและคณะผู้บริหารทำให้ดูก่อน
วงแตก!!! อธิการลุกเดินหนี สรุปลงเอยว่าเป็นสิทธิของ นศ ที่จะเลือกที่จะทำกิจกรรมขัดวิมานหรือเลือกที่ะไม่ทำก็ได้
ผ่านจากนั้นหลายเดือน(อาจถึงปี) ผมใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ จนท.กองกิจฯ ได้เรียกผมไปพบ เขาเอาจดหมายจากวัดธรรมกายให้ผมดู เนื้อหาในจดหมายมีข้อความกล่าวโทษผมห้าข้อ ผมจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ แต่โดยสรุปก็คือ"ผมมีพฤติกรรมบ่อนทำลายพุทธศาสนา" ขอให้ทางสถาบันการศึกษาที่ผมเรียนอยู่ลงโทษผมในสถานหนัก
ผมโดนตั้งกรรมการสอบ โดยที่ผมไม่ได้มีส่วนรับรู้อะไรกับการสอบด้วยเลย แต่สุดท้ายกรรมการเรียกผมไปเซ็นชื่อรับทัณฑ์บน "ถือว่าเป็นการลงโทษในระดับเบาที่สุดแล้ว" กรรมการคนหนึ่งแจ้งกับผม
ผมปฏิเสธไม่ยอมเซ็นรับหนังสือคำสั่งดังกล่าวเพราะผมไม่ผิด แต่หลังจากนั้น กรรมการที่สอบผมได้ติดต่อไปที่พ่อของผม
พวกเขาให้พ่อของผมมาเซ็นชื่อรับทัณฑ์บนแทนผม พ่อของผมมาเซ็นรับคำสั่งเงียบๆโดยที่แกไม่ได้บอกผมเลยจนเวลาผ่านไปอีกนาน
เนื้อหาจาก
https://www.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/928404820537003?pnref=story
https://www.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/928422423868576?notif_t=like