มีการเปรียบเทียบกรณีความรุนแรงที่ภูเก็ตกับกรณีเผาศาลากลาง 4 จังหวัด ภาคอีสาน เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 (ความจริงน่าจะหมายรวมถึงเหตุการณ์หลายๆจุดในกรุงเทพด้วย)
หลายคนบอกว่าไม่ต่างกัน (ซึ่งผมเห็นด้วย) แต่ท่าทีของ รัฐ ต่อเหตุการณ์ทั้งสองกรณีไม่เหมือนกัน ซึ่งผมคิดว่ายังไม่สามารถสรุปให้เป็นที่ชัดเจนได้ มันพึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น
หลายคนเรียกร้องให้รัฐใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมในกรณีเผาโรงพักในระดับเดียวกันกับที่ใช้กับคนเสื้อแดงในปี 53 อาทิเช่น ลาก สไนเปอร์ อาวุธสงคราม ออกมาถล่มใส่ผู้ชุมนุม หรืองัดเอากฎหมายรุนแรงมาบังคับใช้กับผู้ชุมนุม
ในกรณีนี้ผมไม่เห็นด้วย !
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าความรุนแรงทุกกรณีมีเหตุที่มาของมัน กรณีการเผาสถานที่ราชการและเอกชนในเหตุการณ์ปี 53 ผมเชื่อว่ามีแรงผลักดันจากรูปแบบการต่อสู้โดยสันติวิธีของคนเสื้อแดงไม่เป็นผล มีการใช้ความรุนแรง อาวุธสงครามจากเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุม ประกอบกับมีการเผยแพร่ข้อมูลการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงแบบเกินกว่าความเป็นจริง
เหตุการณ์ที่ภูเก็ตเกิดจากการเข้าทำการจับกุมอันเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่จนเป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวิตสอง มันจึงเป็นที่มาของความรุนแรงที่เห็นอยู่หน้าจอ กระจายกระแสความโกรธแค้นในท้องถิ่น ผมถือว่าเป็นพฤติกรรมความรุนแรงทางการเมืองที่มีที่มาใกล้เคียงกัน
ถ้าคุณเห็นอกเห็นใจผู้ต้องขังเสื้อแดง ปี 53 ด้วยเชื่อว่าเขามีมูลเหตุจูงใจและสิ่งที่พวกเขา(บางคน)ทำขึ้นเป็นการตอบโต้การใช้ความรุนแรงที่รัฐได้กระทำต่อพวกเขาก่อน ถ้าเราคิดว่าโทษทัณฑ์หรือการตอบโต้ปฏิบัติของรัฐที่มีต่อพวกเขา อาทิการใช้อาวุธสงครายยิงใส่ การแจ้งข้อหาดำเนินคดีร้ายแรง เป็นความรุนแรงที่มากเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ เราก็ควรปฏิบัติหรือมีท่าทีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมชาวภูเก็ตในระนาบเดียวกัน
มากไปกว่านั้น ต่อกรณีที่เราสนับสนุนให้รัฐใช้ความรุนแรงทั้งในด้านกำลังคนและอาวุธและกฎหมายลงไปกระทำต่อพวกเขา และหากรัฐเลือกที่จะกระทำตามแม้อาจจะไม่รุนแรงนัก มันก็เท่ากับปิดข้อโต้แย้งในเรื่องของ "มูลเหตุจูงใจทางการเมือง" และ "การเลือกปฏิบัติของรัฐที่มีต่อกลุ่มการเมือง" ในกรณีของผู้เสียชีวิตและผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีในฝ่ายประชาธิปไตยลงไปด้วย
และถึงที่สุดแล้ว เราก็จะทำหน้าที่เป็นเสมือนกับรัฐในการกีดกันให้คนเห็นต่างทางการเมือง แตกต่างในด้านสภาพปัญหา วัฒนธรรม หรือต่างภูมิภาคได้กลายเป็นคนนอกกฎหมาย หรือให้ไปเป็นคนที่อยู่ในคุกเสียเอง