Skip to main content

เมี้ยวๆๆ ถ้าจะถามว่าทุกวันนี้ปัจจัย 5 ของฮอยเมอร์คืออะไรก็คงหนีไม่พ้นโซเชียลมีเดียนี่แหละ ใช้เวลาอยู่น่าจอมากกว่าเวลานอนซะอีก ซึ่งนอกจากอัพรูป เม้ามอยกับเพื่อนแล้ว การเสพดราม่าถือเป็นกิจกรรมโปรดของผมเลย เสพดราม่าเป็นอาหารเสริมก่อนนอน เสริมความหย่อนยานของถุงใต้ตา ผมว่าความสนุก 2 ประการของการเสพดราม่าคือ 1. ได้ดูว่าคนที่ผิดเต็มประตูจะสามารถแถไปได้ไกลแค่ไหน บางคนแค่เรื่องเถียงกันเรื่องหมูหมากาไก่ แต่พอดูท่าจะเพลี่ยงพล้ำก็โยงไปเรื่องศาสนา เรื่องประเทศชาติ เพื่อหวังจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองได้ 2. ผมรู้สึกมีความหวังเล็กๆ ว่าสังคมไทยเรากำลังหลุดออกจากกรอบวิธีคิดบางอย่าง และก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเฉพาะดราม่าประเภทพุทธศาสนา และการเมือง

ส่วนใหญ่ผมมักจะเป็นผู้เสพอย่างเดียว และหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็น เพราะผมกลัวว่าถ้าเริ่มแล้วมันจะหยุดไม่ได้ แต่การนั่งอยู่ในวงเหล้ามองดูเพื่อนดวดกันทุกวี่ทุกวัน ต่อให้ปฏิญาณตนว่ายังไงก็จะไม่ดื่ม มันก็คงต้องตบะแตกเข้าซักวัน ฉันใดก็ฉันนั้น ผมตบะแตกไปร่วมวงดราม่าเข้าจนได้ซึ่งมันเกิดขึ้นที่กลุ่มใน facebook ที่มีชื่อว่า Anti-SOTUS (กลุ่มเยาวชนปฏิรูปการรับน้องประชุมเชียร์แห่งประเทศไทย)

เป้าหมายของกลุ่มนี้ก็ตามความหมายชื่อ คือต่อต้านทุกกิจกรรมที่เข้าข่ายโซตัส ไม่ว่าจะเป็นการว๊าก การสั่งทำโทษโดยรุ่นพี่ การบังคมข่มขู่ ซึ่งมันก็ควรถูกต่อต้านอยู่แล้ว ตัวผมเองก็ไม่ค่อยจะชื่อชอบโซตัสเท่าไหร่ด้วยเหตุผลที่ว่า โซตัสคือการไม่เชื่อมั่นว่ารุ่นน้องจะรักกันได้ ต้องมีรุ่นพี่มากประสบการณ์มาค่อยชี้ทางสว่างให้น้องๆ รักกัน ผมคิดว่ามันผิดตั้งแต่เป้าหมายแล้ว เพราะมันคือการทำกิจกรรมให้คนที่มีแนวโน้มว่าจะไม่รักกันต้องรักกัน นี่ยังไม่นับรวมว่าคำถามที่ว่าทำไมคนเรียนด้วยกันมันจะต้องรักกันหมดทุกคน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผมจึงเห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มในช่วงแรก ผมจึงเฮโลตามน้ำเข้าไปด่าโซตัสในกรุ๊ป คิดไปเองว่า เออ เดี๋ยวนี้มันมีพวกที่ตระหนักในสิทธิเสรีภาพ ลุกขึ้นมาเป็นขบถต่ออำนาจเยอะแยะขนาดนี้เลยหรือ? น่าดีใจจริงๆ แต่แล้วผมก็เริ่มเกิดความไม่มั่นใจหลายประการ

ประการแรก: ไม่มีความชัดเจนว่า “โซตัส” ที่กลุ่มกำลังต่อต้านอยู่หมายถึงอะไร และกลุ่มต้องการนำเสนอกิจกรรมแบบใด การ ว๊าก การบังคับ การสั่งทำโทษ การอนาจาร เรื่องพวกนี้เข้าข่ายโซตัสอย่างชัดเจน และสมควรถูกต่อต้านแน่นอน แต่ในบางเรื่องเช่นการขึ้นสแตนด์เชียร์กีฬา การเต้นสันทนาการ หรือแม้กระทั่งการแขวนป้ายชื่อขณะทำกิจกรรม ก็ยังเข้าข่ายโซตัสในสายตาคนในกรุ๊ป แม้จะไม่มีภาพของความรุนแรง หรือการบังคับเลยก็ตาม สุดท้ากลายเป็นว่าทางกลุ่มกำลังปฏิเสธกิจกรรมการรับน้องทุกรูปแบบ และต้องการให้มหาลัยเป็นที่สำหรับการเรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมไม่ค่อยชอบจุดยืนนี้ซักเท่าไหร่ ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยที่ดีควรจัดหาตัวเลือกที่หลากหลายให้กับนักศึกษา ให้นักศึกษามีสิทธิที่จะเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ มิใช่จำกัดความหมายของมหาวิทยาลัยไว้แค่เรื่องการเรียนการสอนเพียงอย่างเดียว

ประการที่สอง: คนที่ตะหนักในสิทธิของตัวเองก็ควรตระหนักในสิทธิของผู้อื่น และไม่ควรจะเอารูปกิจกรรมการรับน้องของผู้อื่นมาลงและคาดหัวว่ากิจกรรมนี้เข้าข่ายโซตัส บรรยายไปว่าน้องๆ ที่อยู่ในรูปถูกบังคับให้ทำตามรุ่นพี่สั่งอย่างน่าสงสาร พอคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และผู้ปกครอง ออกมาตอบโต้ว่าไม่จริง กิจกรรมดังกล่าวไม่มีการบังคับ ทุกคนล้วนสมัครใจเข้าร่วมเอง ทางกลุ่มก็ตอบโต้ว่า ความสมัครใจที่เกิดขึ้นมาเกิดจากการที่รุ่นพี่กดดันมาทั้งนั้น รุ่นพี่อาจบอกว่า “ไม่เข้าร่วมก็ได้ แต่ระวังจะไม่มีเพื่อนคบ” ซึ่งเป็นตรรกะที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่สำหรับผม แบบนี้เท่ากับว่าไอที่ผมเคยสมัครไปใจช่วยเพื่อนทำกิจกรรมคณะนี้ ผมโดนบังคับทางอ้อมหรอกหรือ? นี่ขนาดคำพูดของผู้อยู่ในเหตุการณ์เองแท้ๆ ยังไม่เชื่อ แล้วจะเชื่อหลักฐานอะไร?

ประการสุดท้าย: บุคคลเหล่านี้กำลังมีพฤติกรรมที่เรียกว่า “อำนาจนิยมของเสรีนิยม (authoritarian of liberalism)” คือการอ้างเสรีภาพเพื่อสร้างความชอบธรรมให้การกระทำของตน สหรัฐฯ มีพฤติกรรมเช่นนี้ค่อนข้างบ่อยเวลาประกาศสงครามกับประเทศต่างๆ ทั้งในตะวันออกกลาง และปรากฏการณ์อาหรับสปริง สหรัฐฯ มักบอกว่าเป็นสงครามเพื่อเสรีภาพ เพื่อปลดแอกประชาชนในประเทศนั้นๆ ออกจากประเทศเผด็จการ (ที่น่าสนใจคือหลังจากการขับไล่ผู้นำเผด็จการออกไปแล้ว สิ่งที่สหรัฐฯ ทิ้งไว้ให้ประเทศเหล่านั้นคือฐานทัพ และเผด็จการคนใหม่ที่สหรัฐฯ สามารถควบคุมได้) เช่นเดียวกันสมาชิกในเพจนี้หลายคนอ้างเสรีภาพในการจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเข้าข่ายโซตัส พวกเขาสามารถเอารูปกิจกรรมใดๆ ก็ได้มาลงและขนานนามว่ามันคือความรุนแรงจากระบบโซตัส สถาปนาความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงก็ผู้ที่นิยมโซตัส ใช้ถ่อยคำดูถูกผู้ที่นิยมโซตัสว่ามีความเป็นมนุษย์ต่ำกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งหมดสามารถทำได้ภายใต้แบรนด์เนม “เสรีภาพ” และ “Anti-Sotus”

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ ผมไม่ได้หมายความว่าเสรีภาพมันไม่ดีและแนะนำให้เราเอาอย่างโสมแดง ผมแค่กำลังเสนอว่า ไอ้ประโยคที่บรรยายความสวยงามของเสรีภาพเช่น “เราทุกคนเกิดมาพร้อมเสรีภาพ” “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ และเสรีภาพเท่าเทียมกัน” มันทำให้เราหลงลืมด้านมืดของเสรีภาพไป และตอนนี้ผมก็กำลังเห็นด้านมืดของเสรีภาพในกลุ่ม Anti-Sotus เต็มไปหมด ผมไม่อยากให้ในตอนสุดท้ายสังคมมองคนที่อ้างเสรีภาพในแง่ลบอย่างเช่นที่เกิดในอิหร่าน (คนที่อ้างเสรีภาพเท่ากับอยู่ฝ่ายอเมริกา) เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ้างเสรีภาพตลอดเวลา ผมจึงเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและดราม่าก็ปะทุขึ้นในทันที  

ผมเริ่มจากการเข้าไปทักท้วงบรรดาผู้ที่เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยเป็นที่สำหรับเรียนเท่านั้นว่ามันเป็นแนวคิดที่เผด็จการมาก เพราะนั้นเท่ากับปิดทางเลือกให้กับนักศึกษา กลายเป็นว่าสิ่งที่นักศึกษาทำได้คือเรียนอย่างเดียวเท่านั้น ตามด้วยการเรียกร้องให้แอดมินเพจออกมาแสดงความรับผิดชอบกรณีการนำรูปกิจกรรมรับน้องมาเผยแพร่และกล่าวหาว่าเป็นการบังคับของรุ่นพี่ ทั้งๆ ที่มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ออกมายืนยันแล้วว่าไม่เป็นความจริง ตบท้ายด้วยการบอกพวกที่ต้องการจะล้มล้างห้องเชียร์ด้วยวิถีที่ผิดประชาธิปไตยว่าพวกคุณกำลังอ้างอำนาจนิยมของเสรีนิยม

เมื่อเวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ ผมเริ่มรู้สึกถอดใจ เพราะบรรดาผู้ที่แสดงความคิดเห็นกับผมมักจะจบบทสนทนาว่า “คุณมันพวกบูชาโซตัส” อยู่ร่ำไป เหมือนเป็นข้ออ้างสารพัดนึกที่ใช้เวลาไม่มีอะไรจะพูดต่อ บ่อยจนเริ่มผมว่าสรุปแล้วผมเป็นโซตัสหรือเปล่า? เพราะผมก็ไม่ชอบโซตัสอย่างที่บอกไปตอนแรก แต่ก็ไม่ถูกใจแนวทางของกลุ่มอยู่ดี ชะรอยคงต้องเรียกตัวเองเป็นพวก “Anti-Anti-Sotus” แล้วกระมัง ผมเริ่มใส่อารมณ์เข้าไปในบทสนทนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนผมหลายคนที่ติดตามบทสนทนาของผมก็เริ่มบอกผมว่า พอเถิด หยุดเถิด ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกคนเหล่านี้ท่าทางจะเสพเสรีภาพเป็นยาเสพติด และตอนนี้ก็กำลังพี้ยาสุดขีด เมื่อตระหนักได้ดังนั้นผมก็หยุดการก่อดราม่าลงในที่สุด ถึงแม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดใครได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยจากการก่อดราม่าในครั้งนี้

ในแง่หนึ่งผมเห็นว่าเสรีภาพมันกลายเป็นศาสนาได้ง่ายดายมาก เมื่อมันถูกผลิตซ้ำบ่อยๆ ถูกอ้างบ่อยๆ จนมันกลายเป็นชุดเหตุผลที่คนใช้สร้างความชอบธรรมกันอย่างแพร่หลายและไม่ตั้งคำถาม ขอบเขต และความรับผิดชอบต่อการใช้เสรีภาพเริ่มจางหายไปอย่างกู่ไม่กลับ ซึ่งเสรีภาพที่ไร้ขอบเขตมันก็คือระบอบอนาธิปไตยดีๆ นี่เอง ผู้ที่คิดวิพากษ์หรือตั้งคำถามต่อเสรีภาพก็จะพลอยถูกตราหน้าว่าเป็น “ลูก หลานโซตัส” ไปโดยปริยาย ซึ่งคงไม่ค่อยมีใครอยากได้แบรนด์นี้เท่าไหร่นัก (แต่ผมก็ได้มาแล้ว)

ดราม่านี้จึงเป็นบทเรียนให้ผมตระหนักได้ว่าความศรัทธาที่มากเกินไปรังแต่จะสร้างความอ่อนแอให้กับสิ่งที่เราเชื่อ แต่ผมก็คงไม่กล้าพูดหรอกว่า “จงอย่ามีศรัทธา” เพราะชีวิตที่ไร้สิ้นศรัทธามันคงโหวงเหวง ไร้อะไรให้ยึดเกาะน่าดู อีกทั้งผมกล้าพูดเลยว่าคนที่ออกมาพูดว่า “ตัวข้านั้นไม่ศรัทธาในสิ่งใด” มันต้องเป็นคนที่ลักลั่น ย้อนแย้งเอาการ เราจะศรัทธาอะไรก็ช่างเถิด เราแค่ต้องกล้าวิพากษ์สิ่งที่เราศรัทธา แม้เราจะถูกปลูกฝังมาตลอดชีวิตว่ามันดีเลิศไร้ที่ติก็ตาม

 

 

บล็อกของ แมวน้อยฮอยเมอร์