เมื่อความคิดความเชื่อและความเข้าใจต่องานบริการทางเพศในสังคม มักถูกนำเสนออยู่อย่างซ้ำๆ และอย่างต่อเนื่องว่าเป็น “อาชญากรรม และ ผิดศีลธรรม” เราคงไม่อาจปฏิเสธถึงการธำรงอยู่ของ “การตีราคา ตัดสินคุณค่า” คนทำอาชีพบริการทางเพศนี้ได้
เหตุผลที่ว่า “งานบริการทางเพศ” เป็นธุรกิจที่เต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ ก็เป็นชุดเหตุและผลหลักที่มีอำนาจต่อความคิดความรู้สึกของผู้คน หากเราก็เคยได้ยินเรื่องเล่าที่แตกต่างหลากหลายเกี่ยวกับบริการทางเพศทั้งจากสื่อกระแสหลัก จากบทเรียนการทำงานขององค์กรและเครือข่ายคนทำงาน และจากคำบอกเล่าของพนักงานบริการทางเพศว่า
...มีผู้หญิงและคนอีกจำนวนมากที่ทำงานบริการทางเพศต้องตกอยู่ใน “สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่เป็นอันตราย “
...มีผู้หญิงและคนอีกจำนวนมาก “ได้เลือกและตัดสินใจ” เข้าสู่อาชีพบริการทางเพศในต่างกรรมต่างวาระโดยสมัครใจ
...มีผู้หญิงและคนอีกจำนวนมาก “ถูกชักชวน ถูกหลอก” ให้เข้าสู่อาชีพ และมารู้ในภายหลังว่าผลตอบแทนและเงื่อนไขในการทำงานไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
...มีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงอีกจำนวนมาก “ถูกขบวนการค้ามนุษย์” นำเข้าสู่ธุรกิจทางเพศ
...มีผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นคนทำงานบ้าน ถูกข่มขืนโดยนายจ้างและกลายเป็นทาสทางเพศในที่สุด
... ฯลฯ
โดยส่วนตัวเราเห็นด้วยกับการที่คนทำงานไม่ว่าจากภาครัฐ ภาคประชาสังคมและขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้หญิง จะต้องร่วมกันคิดอ่านหาหนทางที่จะทำให้งานบริการทางเพศมีมาตรฐานที่ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ของคนที่ “ตัดสินใจเลือก” หรือ “จำต้องเลือก” ประกอบอาชีพดังกล่าวในต่างกรรมต่างวาระ และปรับเปลี่ยนมุมมองเชิงเดี่ยวต่องานบริการทางเพศว่าเป็นอาชญากรรมและผิดศีลธรรม
ความเชื่อที่รองรับมาตรการ “การจับกุมผู้ซื้อบริการทางเพศ ว่าเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ” ดูจะสอดรับกับทางออกที่นักสตรีนิยม หรือ นักต่อสู้เพื่อสิทธิผู้หญิงบางกลุ่มพยายามรณรงค์อยู่ แทนที่จะทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นที่มาของปัญหาซึ่งทำให้ธุรกิจบริการทางเพศกลายเป็น “สิ่งอันตราย” และหรือ “ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย”
มีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์หลายแหล่งอรรถาธิบายว่า “การบริการทางเพศ” เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำมาหาเลี้ยงชีพซึ่งเกี่ยวข้องกับเซ็กส์มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว (อ่านเพิ่มเติมได้ใน “รัชกาลที่ห้าทรงเที่ยวกลางคืน”)
หากเราได้ใคร่ครวญอย่างปราศจากอคติทางเพศ ...เมื่อเซ็กส์ถูกนำมาขาย มันได้กลายสถานะเป็น “การบริการ” ไม่ได้หมายถึง “เรือนร่างที่ถูกขาย” ดังนั้นจะมีชุดเหตุและผลอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะนำมายับยั้งหรือต่อต้านการที่จะทำให้บริการดังกล่าวผิดกฎหมาย เหตุผลเพียงเพราะว่า “อวัยะเพศถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้” คงฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป!
“การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในงานบริการทางเพศมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ต่างหาก เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องสิทธิของผู้หญิงและผู้คนที่ยังคง “ทำมาหาเลี้ยงชีพ” ด้วยงานบริการทางเพศ
ตราบใดที่ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นยังคงดำรงอยู่ และได้รับการค้ำจุนอย่างดีด้วยโครงสร้างสังคม-วัฒนธรรมแบบชายเป็นศูนย์กลาง แม้ว่ารัฐ และขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจะผลักดันและบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานบริการทางเพศออกมาบังคับใช้ ผู้หญิง ผู้ชาย กะเทย ฯลฯ ก็คงยังขายบริการทางเพศอยู่ดี
น่าจะถึงเวลาที่เราต้อง “รับฟังเสียง” ของผู้หญิงทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริการทางเพศ ไม่ใช่รับฟังแต่เฉพาะเสียงของคนที่มุมมองต่อเรื่อง “งานบริการทางเพศ” ในระนาบเดียวกับเรา
ถ้าหากนักสตรีนิยม หรือนักต่อสู้เพื่อสิทธิผู้หญิง กลับกลายเป็นผู้ที่ไม่ฟังเสียงหรือไม่เคยเปิดใจที่จะรับฟังเสียงของ “คนทำงานบริการทางเพศ” นอกจากเสียงของตนและจุดยืนทางแนวคิดของตน นักสตรีนิยมหรือนักต่อสู้เพื่อสิทธิผู้หญิง อาจต้องหันมาทบทวนและตรวจสอบความคิดความเชื่อและความหมายเรื่องเพศของตนเองอย่างจริงจังแล้วกระมัง!