Skip to main content
 


เพลงวาสิฏฐี  โดย มาโนช  พุฒตาล

เมื่อวานนี้ฉันหยิบ วันที่ถอดหมวก ของเสกสรรค์  ประเสริฐกุล ขึ้นมาอ่าน (อีกรอบ) ต้องบอกก่อนว่าเป็นแฟนหนังสือของอาจารย์เสกสรรค์อย่างเหนียวแน่น ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กภูหินร่องกร้า และซื้อ "ถนนหนังสือ" หน้าปกเสกสรรค์-จิระนันท์ มาอ่านด้วยความทึ่งกับหนุ่มสาวสมัยนั้น ความที่ประวัติศาสตร์ของเขาอยู่ใกล้บ้านเรา จึงยิ่งอ่านยิ่งอิน


วันที่ถอดหมวก เป็นชื่อบทความในหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่สุดยอดในแง่ของเนื้อหาและกลวิธีการเขียน โดยเฉพาะหมวกนั้นแฟนเสกสรรค์ย่อมรู้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเขา เมื่อหมาที่มีบาดแผลในใจไม่ยอมให้เขาใส่หมวก จุดที่เขาเลือกถอดหมวกเพื่อหมาตัวนั้น เป็นจุดแห่งการปลดขื่อคาในหัวใจ ที่นอกจากจะจองจำแล้วยังเสียดสีขูดขีดสร้างบาดแผลให้อีกด้วย

หากเป็นฉันในห้วงเวลาเช่นนั้น ถ้าไม่ถอดหมวกยอมมัน ก็ต้องทำใจหมาสู้รบกับบาดแผลในใจมันต่อไป

เสกสรรค์ผ่านพ้นตัวตนของเขา ขณะที่ความคิดยิ่งแก่ยิ่งคม เมื่อหยิบมาอ่านทีไร หมาน้อยธรรมดาอย่างฉัน ที่บางครั้งคลี่ปม คลายปัญหาบางอย่างไม่ออก ก็หัวโล่งเมื่อได้พบคำตอบมากมาย วางที่กายแล้วก็ได้โบนัสเป็นหนทางในการวางที่ใจ

การอ่านหนังสือบางครั้งเหมือนคุยกับเพื่อน อย่างน้อยหากวัยห่างกันก็เป็นเพื่อนมนุษย์ อย่างหนึ่งที่ฉันเห็นด้วย และปฏิบัติเช่นเดียวกับเขามาเป็นเวลานาน คือการแหงนมองท้องฟ้าอยู่บ่อย ๆ มองทีไรก็รู้สึกว่าตัวเรานั้นเล็กนิดเดียวในจักรวาล เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องอื่น ๆ นอกกายหรือในใจเราล้วนเล็กกว่า การมองฟ้าของฉันจึงเหมือนการปฏิบัติธรรมโดยมีวิหารกว้างใหญ่ มีดวงดาวและความเงียบเป็นเสียงสวดมนต์ ขณะที่เสกสรรค์ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นสิ่งฟื้นความสงบภายใน

ในบทความ "รู้ทันตัวเอง" เขากล่าวถึงการหลอมรวมระหว่างตัวตนและความคิด เป็นสิ่งที่ทำให้แตะต้องความคิดก็พลาดไปแตะต้องตัวตนของคนเข้า เป็นเหตุแห่งทุกข์เมื่อถูกโต้แย้งความคิด แล้วสะเทือนถึงตัวตน

และบางครั้งคนก็มองไม่เห็นว่า การต่อต้านอำนาจนั้นเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่ง หรือผู้ถูกกดขี่ กลับกลายเป็นผู้กดขี่เสียเอง สาเหตุก็มาจากตัวตนและความคิดที่โยงใยอยู่ด้วยกันนี้เอง

เหตุนี้นอกจากละตัวตนจากความคิดให้ได้แล้ว ยังต้องรู้ตัวตนอีกด้วย ว่าอยู่ตรงไหน อยู่ท่ามกลางความคิดแบบไหน ของใคร ถูกครอบงำ และกำลังครอบงำสิ่งใดอยู่หรือไม่

เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสฟังวีระศักดิ์  ยอดระบำ พูดถึงทางรอดของสังคมไทยว่า ต้องพุทธเท่านั้น สังคมไทยควรหันมาศึกษาพุทธอย่างจริงจัง สองวันก่อน ส.ศิวรักษ์ ก็พูดถึงทางออกของสังคมไทยว่าต้องพุทธเช่นกัน


คำถามจากฉันคือ ต้องวางดาบหรือไม่ก่อนจะรู้พุทธ

 

 

บล็อกของ โอ ไม้จัตวา

โอ ไม้จัตวา
เริ่มต้นฤดูกาลใหม่รับลมหนาวด้วยความรู้สึกถึงวันอันล่วงเลยผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรกับร่างกาย  หนึ่งปีที่หมกมุ่นอยู่กับงาน ห่างหายกับการยืดเส้นยืดสายออกกำลังกาย  มีโยคะบ้างบางครั้งแล้วก็มาเจออุบัติเหตุทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่ ลากยาวมาจึงถึงวันนี้กับอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ โรคประจำตัวของคนนั่งหน้าคอม และขับรถจี๊บแคริบเบียนที่เกียร์แข็งจนเส้นเอ็นที่แขนเคล็ดไปหมดกลิ่นดอกปีบหอมอบอวลไปทั้งเมือง  ลมหนาวไม่มากเริ่มพัดมาเยือน ได้เวลาออกไปดูโลกยามเช้าเสียที  วันนี้ตื่นแต่ตีห้า เตรียมตัวออกจากบ้าน บอกเพื่อนร่วมบ้านว่าจะไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์  จุดมุ่งหมายคือห้วยตึงเฒ่า ที่เก่าเวลาเดิม…
โอ ไม้จัตวา
วันนี้พาไปเดินเล่นในดอยกับพญาช้างสารอันแสนน่ารัก ด้วยการทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปกับแพ็คเก็จทัวร์ของปางช้างแม่ตะมาน สนนราคา 1000 บาทสำหรับคนไทย และ 1500 บาทสำหรับชาวต่างชาติ ออกจากเมืองเชียงใหม่แปดโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นราวเก้าโมงกว่า ๆ ไปเล่นกับช้างน้อยใหญ่ พาช้างไปอาบน้ำ ช้างเป็นสัตว์ขี้ร้อน แต่ช้างที่นี่ดูมีความสุข เพราะมีลำน้ำแม่ตะมานที่กว้างพอสมควรให้ช้างอาบน้ำทุกวัน ดูเหล่าช้างเล่นน้ำกันสนุกสนาน มีพ่นน้ำใส่คนที่ยืนเชียร์อยู่บนฝั่งด้วย ก่อนจะพากันขึ้นจากน้ำมาตีระฆัง เชิญธงชาติ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเป่าเม้าท์ออแกน เตะฟุตบอล นวดให้ควาญ และเดินสวนสนามดูไปดูมาฉันเห็นช้างยิ้ม…
โอ ไม้จัตวา
พาไปเดินเล่นข้างเครือกล้วยดีกว่า ที่ร้านจะมีกล้วยน้ำว้าเป็นเครือแขวนไว้หน้าร้านตรงประตูทางเข้า เดินเข้ามาจะเห็นกล้วยก่อนอื่น เจ้าของร้านเธอเห็นกล้วยลูกอวบอ้วนเป็นเครือดูงามนัก เธอก็เลยซื้อมาแขวนไว้ เผื่อให้แขกที่มา หรือเด็ก ๆ ในร้านได้กินกันกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้บ้าน ๆ ให้ความรู้สึกเป็นบ้าน เป็นความธรรมดา แต่เมื่อนำมาแขวนไว้หน้าร้านอาหารก็ไม่ค่อยจะธรรมดา คำถามเกิดขึ้นจนเบื่อจะตอบ และจนตอบเป็นความเคยชิน ว่ากล้วยมีไว้ให้กิน ไม่ได้ขาย พอมีไว้ให้กิน เราก็เว้นวรรคไว้โดยไม่บอกว่ากินแต่พออิ่ม พอคนเท่านั้น กินข้าวเสร็จเดินออกมาเจอกล้วยน้ำว้าล้างปากช่วยท้องเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ…
โอ ไม้จัตวา
กลับมาเดินเล่นในเรื่องคนต่อค่ะ กำลังสนุกกับการเล่าเรื่องคนรอบข้าง มีอีกคนหนึ่งที่อยู่กันมานาน ตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อเขาทำงานในบาร์น้ำ เมื่อพ่อลากลับบ้านที่ท่าสองยาง และจะไม่กลับมาอีก จึงส่งสันติมาทำงานต่อ  เหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนทำงานในร้าน ถ้าใครคนใดคนหนึ่งลาพัก หรือลากลับบ้าน พวกเขาจะหาคนมาทำงานแทนในหน้าที่ของเขา เพราะการลาของพวกเขานั้นต้องใช้เวลาเดินทางนาน ๆ อย่างสันตินั้น เป็นปกากญอ บ้านอยู่ในเขต อ.ท่าสองยาง จ.ตาก การเดินทางจากเชียงใหม่ไปท่าสองยางนั้น ต้องนั่งรถไปลงที่อ.แม่สะเรียง แล้วต่อมอเตอร์ไซด์ แล้วเดินอีกครึ่งวัน เมื่อกลับบ้านทีจึงต้องไปเป็นเดือน หรืออย่างน้อยก็ครึ่งเดือน…
โอ ไม้จัตวา
เริ่มคอลัมน์ใหม่หัวใจดวงเดิม ขอประเดิมด้วยการพาไปเดินเล่นตามประสาคนถ่ายภาพ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 ที่ผ่านมามีโอกาสนั่งเครื่องบินไปเกาะสมุย และช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนั้น เป็นเวลาที่ข่าวเครื่องบินวันทูโกตกกำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทย เครื่องลงปุ๊บเปิดโทรศัพท์ได้ก็มีสายเข้าและ miss call เต็มไปหมด กว่าจะไปถึงสมุยได้ในวันนั้นก็ทุลักทุเล เพราะน้องสาวเป็นคนจองตั๋วคืนก่อนที่จะมาหนึ่งวัน นัยว่าเป็นงานด่วนของเธอ ขอให้ฉันมาเป็นเพื่อน ตอนจองตั๋วฉันถามว่าขึ้นเครื่องที่ไหน ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เธอตอบว่ากำลังหาอยู่ น่าจะดอนเมือง พรุ่งนี้เธอจะโทรถามอีกครั้ง เราบินจากเชียงใหม่ไปลงดอนเมือง…