Skip to main content


 

วันนี้ตั้งใจขับรถขึ้นไปที่ขุนช่างเคี่ยน เพื่อไปดูพญาเสือโคร่งประจำปีนี้ ตื่นหกโมงเช้า ฟ้ายังมืด อากาศหนาว ออกจากบ้านหกโมงครึ่ง แต่กว่าจะไปถึงแดดก็เริ่มแรงแล้ว รูปนี้ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว ก่อนถึงโค้งขุนกันต์ ดอยสุเทพ เห็นเส้นขอบฟ้าไกล ๆ ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง จึงเก็บฟ้าและเมืองได้ทั้งเมือง เชียงใหม่ยังมีมุมสวยอยู่


 

 

ซื้อเลนส์มุมกว้างมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หมายมั่นปั้นมือว่าปีนี้จะมาเก็บโค้งนี้ให้ได้ เพราะเลนส์คิทที่ติดกล้องมานั้นเก็บได้ไม่หมด ถ่ายแล้วก็ไม่หนำใจ ปีนี้ได้เลนส์สมใจ แต่สภาพแวดล้อมชวนสลดใจ สองปีที่ผ่านมาเสือโคร่งสีชมพูตัวนี้บานอิ่มเอมหัวใจ แต่ปีนี้ไปถึงก็อึ้ง ๆ เพราะสภาพสองข้างทางมันรก ๆ และมีขยะประปราย ที่สำคัญคือสีชมพูหายไปส่วนหนึ่ง มีสีน้ำตาลของถนนและฝุ่นมาแต้มสี

 
 

 

มุมนี้ที่รอคอย ได้แสงเช้าที่ลอดต้นไม้มา ใช้โฟโต้ช็อปเปลี่ยนค่าสีนิดหน่อย เพราะถ่าย raw file จึงแก้ไขโปร ไฟล์สี และอื่น ๆ ในรายละเอียดของภาพได้เยอะกว่าไฟล์ jpg. ธรรมดา


 

 

เปลี่ยนมาใช้เลนส์ซูม 70-300 มม. แม้ว่าจะมีแสงแล้ว แต่เวลาใช้เลนส์ซูมดึงภาพเยอะ ๆ มักเจอปัญหาแบบนี้ ซึ่งแก้ได้ด้วยการใช้ขาตั้งกล้อง แต่วันนี้ความขี้เกียจเป็นเจ้าเรือน ไหนจะแบกเป้กล้อง และหิ้วกล้องตัวเล็กไปด้วย ขาตั้งกล้องก็ติดรถไป แต่ทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ถ่ายมือเปล่า ผลที่ได้ก็ไหวเอนอย่างที่เห็นในภาพ ถ้าไม่คิดมากก็เหมือนใช้ soft filter นวล ๆ อุ่น ๆ แต่คนถ่ายรู้ดี ...ก็ขาตั้งกล้องมันหนักอ่ะ เดินขึ้นดอยลงดอยคนเดียวใครจะแบกไหว


 

 

นี่ดีกว่า ผิดหวังจากสีชมพูของพญาเสือโคร่งที่เจ้าหน้าที่บอกว่าปีนี้อากาศไม่หนาว โลกร้อน ทำให้ดอกไม้ไม่บาน และบานไม่พร้อมกัน ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่ฉันมาที่นี่ในช่วงเวลาหลังปีใหม่ เหมือนมีนัดกับดอกไม้ แต่วันนี้รู้สึกเศร้ากับสภาพแวดล้อม ดอกบ๊วยที่เคยบานสะพรั่งขาวโพลนพร้อมกับพญาเสือโคร่งก็มีเพียงประปราย มีเต็นท์กางนอนกลางดงดอกบ๊วย มีร้านขายของของชาวม้งที่หน้าดงดอกบ๊วย ห้องน้ำมีเพิ่มขึ้นหลายจุด ถนนมีป้ายบอกทางให้ระมัดระวังตลอดทางเนื่องจากทางแคบ

 

ขากลับจึงแวะล้างตาด้วยดอกไม้ในพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เดินเล่นดูดอกกุหลาบใหญ่เท่าบ้าน และดอกไม้เมืองหนาวดอกเล็กดอกน้อยแต้มสีอยู่ตามที่ต่าง ๆ ดูกุหลาบสีชมพูดอกนี้และกลีบหนาซ้อนกันแน่นเอี๊ยด ยังไม่นับกุหลาบนานาพรรณ ที่เบ่งบานรับอากาศหนาว ตบท้ายด้วยสตรอเบอรี่ปั่น ตรงทางออกพระตำหนัก อร่อยมากขอแนะนำ แก้วละ 40 บาท ทดแทนฟรุ้ต แฟคทอรี่ ที่ปายได้เลย!!

 

 

บล็อกของ โอ ไม้จัตวา

โอ ไม้จัตวา
เริ่มต้นฤดูกาลใหม่รับลมหนาวด้วยความรู้สึกถึงวันอันล่วงเลยผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรกับร่างกาย  หนึ่งปีที่หมกมุ่นอยู่กับงาน ห่างหายกับการยืดเส้นยืดสายออกกำลังกาย  มีโยคะบ้างบางครั้งแล้วก็มาเจออุบัติเหตุทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่ ลากยาวมาจึงถึงวันนี้กับอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ โรคประจำตัวของคนนั่งหน้าคอม และขับรถจี๊บแคริบเบียนที่เกียร์แข็งจนเส้นเอ็นที่แขนเคล็ดไปหมดกลิ่นดอกปีบหอมอบอวลไปทั้งเมือง  ลมหนาวไม่มากเริ่มพัดมาเยือน ได้เวลาออกไปดูโลกยามเช้าเสียที  วันนี้ตื่นแต่ตีห้า เตรียมตัวออกจากบ้าน บอกเพื่อนร่วมบ้านว่าจะไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์  จุดมุ่งหมายคือห้วยตึงเฒ่า ที่เก่าเวลาเดิม…
โอ ไม้จัตวา
วันนี้พาไปเดินเล่นในดอยกับพญาช้างสารอันแสนน่ารัก ด้วยการทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปกับแพ็คเก็จทัวร์ของปางช้างแม่ตะมาน สนนราคา 1000 บาทสำหรับคนไทย และ 1500 บาทสำหรับชาวต่างชาติ ออกจากเมืองเชียงใหม่แปดโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นราวเก้าโมงกว่า ๆ ไปเล่นกับช้างน้อยใหญ่ พาช้างไปอาบน้ำ ช้างเป็นสัตว์ขี้ร้อน แต่ช้างที่นี่ดูมีความสุข เพราะมีลำน้ำแม่ตะมานที่กว้างพอสมควรให้ช้างอาบน้ำทุกวัน ดูเหล่าช้างเล่นน้ำกันสนุกสนาน มีพ่นน้ำใส่คนที่ยืนเชียร์อยู่บนฝั่งด้วย ก่อนจะพากันขึ้นจากน้ำมาตีระฆัง เชิญธงชาติ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเป่าเม้าท์ออแกน เตะฟุตบอล นวดให้ควาญ และเดินสวนสนามดูไปดูมาฉันเห็นช้างยิ้ม…
โอ ไม้จัตวา
พาไปเดินเล่นข้างเครือกล้วยดีกว่า ที่ร้านจะมีกล้วยน้ำว้าเป็นเครือแขวนไว้หน้าร้านตรงประตูทางเข้า เดินเข้ามาจะเห็นกล้วยก่อนอื่น เจ้าของร้านเธอเห็นกล้วยลูกอวบอ้วนเป็นเครือดูงามนัก เธอก็เลยซื้อมาแขวนไว้ เผื่อให้แขกที่มา หรือเด็ก ๆ ในร้านได้กินกันกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้บ้าน ๆ ให้ความรู้สึกเป็นบ้าน เป็นความธรรมดา แต่เมื่อนำมาแขวนไว้หน้าร้านอาหารก็ไม่ค่อยจะธรรมดา คำถามเกิดขึ้นจนเบื่อจะตอบ และจนตอบเป็นความเคยชิน ว่ากล้วยมีไว้ให้กิน ไม่ได้ขาย พอมีไว้ให้กิน เราก็เว้นวรรคไว้โดยไม่บอกว่ากินแต่พออิ่ม พอคนเท่านั้น กินข้าวเสร็จเดินออกมาเจอกล้วยน้ำว้าล้างปากช่วยท้องเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ…
โอ ไม้จัตวา
กลับมาเดินเล่นในเรื่องคนต่อค่ะ กำลังสนุกกับการเล่าเรื่องคนรอบข้าง มีอีกคนหนึ่งที่อยู่กันมานาน ตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อเขาทำงานในบาร์น้ำ เมื่อพ่อลากลับบ้านที่ท่าสองยาง และจะไม่กลับมาอีก จึงส่งสันติมาทำงานต่อ  เหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนทำงานในร้าน ถ้าใครคนใดคนหนึ่งลาพัก หรือลากลับบ้าน พวกเขาจะหาคนมาทำงานแทนในหน้าที่ของเขา เพราะการลาของพวกเขานั้นต้องใช้เวลาเดินทางนาน ๆ อย่างสันตินั้น เป็นปกากญอ บ้านอยู่ในเขต อ.ท่าสองยาง จ.ตาก การเดินทางจากเชียงใหม่ไปท่าสองยางนั้น ต้องนั่งรถไปลงที่อ.แม่สะเรียง แล้วต่อมอเตอร์ไซด์ แล้วเดินอีกครึ่งวัน เมื่อกลับบ้านทีจึงต้องไปเป็นเดือน หรืออย่างน้อยก็ครึ่งเดือน…
โอ ไม้จัตวา
เริ่มคอลัมน์ใหม่หัวใจดวงเดิม ขอประเดิมด้วยการพาไปเดินเล่นตามประสาคนถ่ายภาพ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 ที่ผ่านมามีโอกาสนั่งเครื่องบินไปเกาะสมุย และช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนั้น เป็นเวลาที่ข่าวเครื่องบินวันทูโกตกกำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทย เครื่องลงปุ๊บเปิดโทรศัพท์ได้ก็มีสายเข้าและ miss call เต็มไปหมด กว่าจะไปถึงสมุยได้ในวันนั้นก็ทุลักทุเล เพราะน้องสาวเป็นคนจองตั๋วคืนก่อนที่จะมาหนึ่งวัน นัยว่าเป็นงานด่วนของเธอ ขอให้ฉันมาเป็นเพื่อน ตอนจองตั๋วฉันถามว่าขึ้นเครื่องที่ไหน ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เธอตอบว่ากำลังหาอยู่ น่าจะดอนเมือง พรุ่งนี้เธอจะโทรถามอีกครั้ง เราบินจากเชียงใหม่ไปลงดอนเมือง…