omaijattava's picture

<p>&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm"><strong><span>เดินเล่นในเรื่อง</span></strong></p> <p style="margin-bottom: 0cm">&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm"><span>อยากให้คนอ่านรู้สึกเหมือนเดินเล่นอยู่ในเรื่อง แม้บางครั้งเรื่องอาจไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่อาจมองหรืออ่านเล่น ๆ </span></p> <p style="margin-bottom: 0cm"><span>ด้วยความรู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ นั้น หากเรามองในอารมณ์เดินเล่น เราอาจได้มุมมองที่ต่างออกไป ด้วยสมมุติฐานว่า เรื่องเดียวกัน มองให้ดีก็ได้ มองให้ร้ายก็ได้ </span></p> <p style="margin-bottom: 0cm"><span>เหมือนคนใส่แว่น ถ้าแว่นตาเลอะโลกที่มองเห็นก็เป็นภาพเลอะ ๆ </span></p> <p style="margin-bottom: 0cm"><span>ถ้าแว่นใสสะอาด อาจมีส่วนทำให้ภาพตรงหน้าสดใสขึ้นมาได้บ้าง </span></p> <p style="text-indent: 1.27cm; margin-bottom: 0cm; margin-left: 1.27cm">&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm"><span>เพื่อให้คนอ่านเพลิดเพลินกับการเดินเล่นในเรื่อง จึงมีภาพเป็นเพื่อนเดินเล่นด้วยค่ะ</span></p> <p style="text-indent: 1.27cm; margin-bottom: 0cm; margin-left: 1.27cm">&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm">&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm"> <p style="margin-bottom: 0cm">&nbsp;</p> </p> <p style="margin-bottom: 0cm">&nbsp;</p> <p style="margin-bottom: 0cm">&nbsp;</p>

บล็อกของ omaijattava

Just living is not enough

หลังจากอยู่ในดงข้อมูลอันบ้าคลั่งที่ไหลมาเทมา มองไปข้างหน้าเห็นแต่สถานการณ์ที่ใส่กุญแจปิดตายอย่าง “เอารัฐบาลสมัครออกไป” แต่รัฐบาลสมัครไม่ออก

 

ถามว่าถ้าเอาออกไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อเลือกตั้งใหม่ยังไงก็แพ้อีก

กุญแจลูกที่สองโยนออกมาบอกว่า “เปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองใหม่ จากหน้ามือซ้ายของประชาชนไปเป็นหลังเท้าขวาของอีกคน” ฟังจบแล้วก็รู้สึกว่าลูกกุญแจที่จะเปิดล็อคถูกโยนทิ้งลงทะเลความคิดอันกว้างใหญ่


*********************************

R 3 a ถนนข้ามโขง 4 : ไปเมืองสิงห์

หลวงน้ำทาเป็นเมืองที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นไทลื้อ ไทดำ ม้ง มูเซอ เย้า ฯลฯ

ขณะตระเวนถ่ายรูปรอบ ๆ เมืองหลวงน้ำทาอยู่นั้น ทางคณะก็เปลี่ยนกำหนดการกะทันหันเนื่องจากคนเมืองบางกอกเกิดอาการสมาธิสั้น รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำ จึงลดกำหนดการสัมมนากลุ่มในภาคบ่ายลง และพาเราไปเมืองสิงห์แทน น้องศรบอกว่าควรทำเช่นนี้เพราะระยะทางจากหลวงน้ำทาไปเมืองสิงห์นั้น แม้ว่าจะเพียง 60 กม. แต่ก็ใช้เวลาในการเดินทางถึงสองชั่วโมง เนื่องจากสภาพพื้นผิวถนนไม่ค่อยดีนัก

เข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ไปสองชั่วโมง กลับสองชั่วโมง ไม่มีห้องน้ำ”  อื้อหือแม่เจ้าประคุณรุนช่อง ทำไมเป็นทัวร์โหดแบบนี้ ฉันตัดสินใจชั่วนาทีว่าไปก็ไปวะ เข้าห้องน้ำเสร็จฉันก็เริ่มต้นอดน้ำทันที สองชั่วโมง มนุษย์ดื่มน้ำอย่างฉันนั่งรถอย่างทรมานยิ่งนัก คอแห้งผาก ทำได้เพียงนาน ๆ จิบน้ำสักครั้ง เนื่องจากกลัวการอั้นปัสสาวะ แต่เส้นทางไปเมืองสิงห์รื่นรมย์จนลืมหิวน้ำ

R 3 a ถนนข้ามโขง 3 : แอ่วกาดหลวงน้ำทา

อาหารไทยสามมื้อที่ผ่านมา ทำให้ต้องสอดส่ายสายตาหาร้านส้มตำ ก็หาไม่มี บ้านเมืองหลวงน้ำทาสะอาด บรรยากาศเหมือนบ้านฉันเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ร้านอาหารไม่ค่อยมี ตอนเที่ยงนักเรียนขี่จักรยานเป็นเส้นเป็นสายกลับมากินข้าวที่บ้าน เหมือนฉันตอนเด็กๆ เลย

ฉันบอกน้องศร คนขับรถตู้ให้พาไปตลาด น้องศรไปในทันใด ตลาดเมืองหลวงน้ำทาใหญ่มาก ที่จอดรถก็กว้างกินเนื้อที่หลายไร่ แปลนของตลาดเป็นรูปตัวยู มีลานจอดรถอยู่ตรงกลาง มีร้านค้าขายเสื้อผ้าและของใช้ทั่วไปอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านในขายอาหารต้องเดินลัดตึกไปด้านหลัง

โอ้...นี่แหละที่ฉันต้องการ แม่ค้าขายอาหารสดนั่งเรียงราย อาหารอยู่ในตู้กระจกกันแมลงวันได้เป็นอย่างดี มีข้าวเหนียวด้วย ฉันเริ่มช็อป มีอาหารหลายอย่างหน้าตาคล้ายอาหารที่บ้าน เช่น หมกปลาซิว มีปลาซิวใส่หอมแดงกับใบแมงลัก ปรุงรสนิดหน่อย ห่อใบตองปิ้ง นี่แหละที่ฉันโหยหา เพราะหมกแบบนี้ในเชียงใหม่เขาไม่ทำ เขาทำแบบชาวเหนือคือใส่เครื่องปรุง พริก และขมิ้นลงไปด้วย แต่หมกแบบลาวคือแบบนี้แหละใช่เลย

R 3 a ถนนข้ามโขง 2 : หลวงน้ำทา

หลวงน้ำทา เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว อยู่ในเขตแขวงบ่อแก้ว มีพื้นที่ติดประเทศจีน ผู้คนพูดภาษาลาว   มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร

ฉันรู้สึกสบายใจเมื่อออกจากแผ่นดินไทยมาได้ ทิวทัศน์สองข้างทางมีทัศนียภาพที่อาจไม่แปลกตา แต่ก็ให้ความรู้สึกแปลกถิ่นทำให้ลืมความวุ่นวายในชีวิต และบ้านเมืองเราไปได้  โดยเฉพาะแววตาและรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของผู้คนนั้น ราวกับเป็นสิ่งชำระล้างความยุ่งเหยิงของเชือกที่พันอยู่ในหัวใจ คลายมันออก จนกลายเป็นหัวใจที่ว่างเปล่า คุยกับพี่ที่ไปด้วยกันว่าเราย้ายมาอยู่ลาวกันไหม ทำไมเรารู้สึกมีความสุขแบบนี้ เป็นความโล่ง แม้ว่าจะมีข่าวสารส่งมาทาง sms บ้าง เพราะโลกวันนี้ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารอีกต่อไป

ฉันซื้อเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์หนึ่งมาใช้ เพื่อจำกัดเบอร์โทรเข้า เนื่องจากค่ารับสายนาทีละ 33 บาท มีเศษอีกนิดหน่อย miss call ก็ถือว่าเป็นการรับสาย มนุษย์ผู้ประสานสิบทิศอย่างข้อยคงต้องจ่ายเงินอื้อหากยังใช้หมายเลขเดิม น้องผู้เดินทางไปต่างประเทศบ่อย แนะนำให้ใช้วิธีนี้ คือซื้อเบอร์ใหม่แล้วบอกแต่คนที่จำเป็นต้องบอกเท่านั้น เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน ค่าโทรกลับเมืองไทยนาทีละ 24 บาท ส่ง sms ครั้งละ 12 บาท (อันนี้ Dtac เจ้า) ส่วนระบบ One 2 Call นั้น รับ sms ได้อย่างเดียว True ก็ใช้ได้เช่นกัน

R 3 a ถนนข้ามโขง 1 : หลวงน้ำทา

บอกกับตัวเองและเพื่อน ๆ บ่อยครั้งว่า มาเชียงรายฉันมักหาทางไปแม่สาย เชียงแสน ขับรถเลียบแม่น้ำโขง แค่ย่างเข้าสู่แม่จันก็รู้สึกเหมือนกลับบ้าน สงสัยชาติก่อนฉันคงเคยเกิดแถวนี้ ความรู้สึกอิ่มสุขลึก ๆ ในใจเมื่อมองทุ่งหญ้าที่ขึ้นสองฝั่งโขง มองสายน้ำอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า

 

อาจเป็นเพราะฉันมีเชื้อสายส่วนหนึ่งเป็นลาว ยายของย่าของฉันอพยพมาจากเมืองหลวงพระบางในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าในช่วงนั้นหลวงพระบางเมืองหลวงของลาวแตกลง มีการอพยพสองสาย สายหนึ่งลงใต้ อีกสายหนึ่งข้ามโขงลัดเลาะเทือกเขาเพชรบูรณ์เข้ามาทางจังหวัดเลย ด่านซ้าย และเพชรบูรณ์

 

ส่วนเลือดอีกฟากหนึ่งในกายฉันมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เส้นทางข้ามโขงด้วย R3a ในทริปนี้จึงเป็นการเดินทางที่มีความหมายกับชีวิต ราวกับได้หลุดเข้ามาในดินแดนอันเป็นอดีตของชีวิต

จำใจสปิริต ขออภัยในความไม่สนุก

เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย หลังจากเดินเล่นในสวนเขียว ๆ มาพักหนึ่ง ความเป็นจริงก็เริ่มปรากฏ เศรษฐกิจแย่ลง จากสองปีก่อนคนบอกว่าขาลง ปีที่แล้วเผาจริง ปีนี้เผาจริงกว่า บอกตัวเองว่าเอาเถอะ เป็นไงก็เป็นกัน เกิดเป็นคนไทยแล้วนี่นา คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว

 

ชัยชนะที่ผลัดกันชมระหว่างผู้ขับไล่ และผู้อยู่ไกลบ้าน แล้วในที่สุดเขาก็รักกัน เป็นพี่น้องกัน คนที่แทบฆ่ากันตายกลับกลายเป็นนายกที่ดีที่สุด เกิดอะไรขึ้นกับชายชาติทหาร หลายคนเดินคอตกกับความผิดหวังที่รู้สึกว่าเราถูกหลอก หลายคนกุมหัวใจมั่นแล้วบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ณ เวลานั้นเราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแบบนี้ก็อย่าหวังว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรอีก กลับบ้านใครบ้านมัน เซาะว่าหากินไปตามเรื่องดีกว่า

 

กระบอกปืนออกไป การเลือกตั้งกลับมา รอบแรกเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก่อนปีใหม่ ร้านรวงในเชียงใหม่เจอวิกฤติสปิริตไปห้าวัน คือ สัปดาห์เลือกตั้งล่วงหน้า ห้ามขายเหล้าไปสามวัน สัปดาห์เลือกจริงอีกสองวัน หลายร้านขายเหล้าเป็นหลัก จึงต้องปิดร้านไปในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นไฮซีซั่น หลายธุรกิจต้องเช็ดเหงื่อกันถ้วนหน้า เพื่อบ้านเมืองไม่ทำได้อย่างไร นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ่นกันอุบ

 

สัปดาห์นี้เลือกตั้ง ส.. แทบไม่รู้ตัว มาเหมือนเดิมห้าวันสุดสัปดาห์ ถัดจากเลือกตั้ง ส.. มีเลือกตั้ง ส..อีก เจออีกห้าวัน

 

ขายไปบ่นไปค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ ฟังเสียงบ่นว่าของนักท่องเที่ยวที่ไม่อาจดื่มกินได้ แม้ว่าจะหิ้วเหล้าเข้ามาเอง เพราะหนังสือจากสถานีตำรวจนั้นห้ามจำหน่ายจ่ายแจก ห้ามให้ใช้สถานที่สำหรับดื่มสุรา

 

แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เจอเข้ากับตัวเองเต็ม ๆ คราวเลือก สส. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอดื่มเบียร์ เราไม่ขาย เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาเป็นตำรวจ

 

คราวนี้มีผู้พิพากษา (ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม) หิ้วเหล้าเข้ามา บอกว่าเหลือสามแก้ว อยากนั่งฟังเพลง เราบอกว่าขายไม่ได้ ให้ดื่มก็ไม่ได้ เป็นความผิด กฎหมายเลือกตั้งไม่เหมือนวันพระวันโกน ขายน่ะเราอยากขายใจจะขาด เขายังยื้อที่จะดื่มให้ได้ บอกว่าตะกี้มาจากอีกร้านหนึ่งเขาให้ดื่ม เนี่ยไม่สนุกเลยอุตส่าห์มาเชียงใหม่ เรายังยืนยันว่าไม่ได้ เราทำผิดไม่ขึ้น ค่าปรับสองหมื่น เขาบอกเขาจ่ายเอง เราบอกเราก็ผิดกฎหมายด้วย เขาบอกกฎหมายอะไร กฎหมายเขาห้ามจำหน่าย เขาเป็นผู้พิพากษา จะดูบัตรไหม แล้วทำท่าล้วงบัตร แต่ไม่ควักออกมา

 

ฉันมองนิ่ง ๆ แล้วส่ายหน้ายืนยันว่าไม่

 

บางภาวะเราก็ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกให้มากที่สุด ในใจอยากบอกเขาว่าถ้าคุณเป็นผู้พิพากษาจริง คุณควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชนเพราะคุณเป็นผู้ใช้กฎหมายในการ “พิพาก” ณ เวลานั้นแม้แต่แมวในร้านก็ยังรู้สึกว่าถ้าเป็นผู้พิพากษาจริงเขาไม่อวดบัตรกันหรอก เราจึงไม่สนใจพูดกับเขา และยืนมองเขานิ่ง ๆ เมื่อเขาเดินผ่านหน้าไป

 

เขาหลบตา...

 

เมื่อไรบ้านเมืองเราจะมีพลเมืองที่เชื่อถือได้ในความซื่อสัตย์สุจริต โดยไม่ต้องมีข้อห้ามเพื่อป้องกันการดื่มกิน การซื้อเสียงในรูปแบบต่าง ๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อรัฐห้ามดื่มกินในวันก่อนหน้าและวันเลือกตั้ง ก็ยังเหลือวันอื่น ๆ อีกมากมายให้คนเฉลิมฉลอง

 

อยากเที่ยวเชียงใหม่แบบย้อนยุค ขอเชิญสุดสัปดาห์นี้นะคะ บ้านเมืองเงียบเชียบ ดูเป็นเมืองศีลเมืองธรรม มีวัฒนธรรมของตัวเองยังไงไม่รู้ ถ้าใครมีโอกาสมาขอแนะนำโปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ ช่วงนี้

 

เช้าใส่บาตรที่ลานครูบาศรีวิชัยมีพระเณรเดินเป็นเส้นเป็นสายไม่แพ้หลวงพระบาง สาย ๆ ก็เดินสายเที่ยววัดในเมืองเชียงใหม่ แนะนำวัดสวนดอก ไว้พระเจ้าเก้าตื้อ ชมกู่ของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ วัดป่าแดง หลังม..เข้าซอยด้านประตูวิศวะ เป็นวัดที่พระสุมณเถระ พระสงฆ์รูปแรกที่นำพุทธศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักรล้านนาได้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ (สมัยพระยากือนา) วัดพระสิงห์ชมวิหารลายคำ วัดเจดีหลวง ไหว้เสาหลักเมืองเชียงใหม่ วัดบุปพารามที่ถนนท่าแพ มีวิหารเก่าที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างไว้ตั้งแต่สมัยเสด็จผ่าน ยังเก่าแก่โบราณอยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจของเมืองเชียงใหม่ วัดเจ็ดยอด เป็นวัดที่เคยสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยพระเจ้าติโลกราช วัดต้นเกว๋น วัดนี้ไม่มาไม่ได้ งามมากค่ะ อยู่แถวพืชสวนโลก ตรงแยกสะเมิงค่ะ และ The Must ของเชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ไปตอนเย็น ๆ รอจนตะวันลับฟ้า ชมเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนมีแสงไฟระยิบระยับอย่างในรูป

 

ไม่ได้ดื่มกิน แต่ก็ดื่มด่ำกับเชียงใหม่แท้ ๆ ได้เจ้า++

 

 

20080226 1

20080226 2

20080226 3

20080226 4

20080226a

รู้บาน รู้โรย รู้วาเลนไทน์

“เมื่อไรลื้อจะมา ลื้อบอกว่าจะมาหกโมง นี่จะสามทุ่มแล้ว”  เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่ตรงหน้าราวกับทะเลาะกันทางโทรศัพท์  รีเซฟชั่นยืนนิ่งมองชายคนหนึ่งยืนคุยโทรศัพท์หน้าดำคร่ำเครียด ฉันมองนิดหนึ่งเห็นว่าไม่มีอะไรก็หันมาอ่านหนังสือตรงหน้าต่อ

วันนี้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่คนรอบข้างล้วนไม่มีใครสนใจใคร แม้แต่ฉันซึ่งหมกตัวเองอยู่กับงาน จนพบว่าลืมอาบน้ำเป็นวัน ๆ พบตัวเองที่หน้าคอมฯ อีกทีก็หน้ามันแผล่บ ป้า ๆ แถวนี้มาเห็นคงเหล่ตามองเย้ยหยัน ว่าทำตัวแบบนี้ไงเล่า!

บอกน้องสาวไปทางเอ็มว่า วาเลนไทน์ของพี่ตายไปแล้ว ตั้งแต่เช้ามานี้ยังไม่ได้หายใจโล่ง ๆ เลย ดอกกุหลาบเหรอ...แพง! ความรักเหรอ...เหมือนเสาวิหารของยิบรานไง อยู่ห่างกันโน่นเลย แต่อนาคตมันคงเป็นวิหารเก่า ๆ ที่ถ้าใครโยกเสาสักข้างก็คงพัง โรแมนติกเหรอ...โอ..มันคือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์  เดี๋ยวนี้ชีวิตมีแต่เรียลลิสติค ความเป็นจริงตรงหน้ามันช่างน่าปวดหัวอะไรเช่นนี้ ว่าแล้วน้ำย่อยก็ซึมผนังกระเพาะออกมาทักทายร่างกายให้จี๊ด ๆ เล่น

น้องสาวส่งตัวเหวอกลับมา ว่าพี่อายุสี่สิบนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ

********

ผีที่ไม่มีวันตายอยู่บนเครื่องบินกลางพายุหนัก

ฟังดูน่ากลัวนะ อะไรมันจะขนาดนั้น ไม่ใช่อะไรค่ะ วันอาทิตย์วันหยุดอยู่กับบ้าน กิจวัตรหนึ่งก็คือนอนดูหนังในเคเบิ้ลทีวี ซึ่งเขาจะจัดหนังได้น่ากลัวมากในวันอาทิตย์  

สำหรับเราแล้ววันอาทิตย์ควรเป็นวันสบาย ๆ ชิว ๆ  แต่เปิดทีวีเจอแต่หนังผี  อย่างเมื่อคืน เปิดเรื่องมาบนเครื่องบิน โอ๊...ชอบ หนังวิกฤติบนเครื่องบิน เนื่องจากเป็นคนกลัวความสูง แต่ชอบดูหนังเกี่ยวกับเครื่องบิน จี้เครื่องบิน เครื่องบินตก ดูแล้วก็เก็บไปจินตนาการเวลาขึ้นเครื่อง ว่าถ้าเป็นเราเจอแบบนี้เราต้องทำอย่างไร  เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากหนังว่างั้น

โลกสีชมพู

ตีนฟ้ายกแล้ว แมวยังหลับใหลอยู่บนกองผ้าห่มอบอุ่น ใกล้เวลานัดสำหรับการออกไปดูโลกสีชมพูที่ได้ยินเสียงนักเดินทางต่างถิ่นกลับมาบอกเล่าเรื่องราวอยู่เสมอ  

“ใกล้แค่นี้เอง” ฉันบอกเพื่อนร่วมทาง หลังจากชักชวนกันเมื่อคืน ว่าดอกพญาเสือโคร่งกำลังบานที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน หลังดอยสุเทพนี่เอง

เราออกจากบ้านเจ็ดโมงเช้า แวะกาแฟวาวีร้านกาแฟสาขาถนนนิมนานเหมินท์ที่เปิดตั้งแต่เจ็ดโมง แต่ก็ต้องรอเครื่องร้อนอีกครู่หนึ่ง ออกจากถนนนิมมานฯ เข้าสู่ถนนห้วยแก้ว ถนนสายหลักของนักท่องเที่ยวที่ต้องขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ และยังเป็นถนนสายหลักในหัวใจของชาวเชียงใหม่ เนื่องจากดอยสุเทพเป็นศูนย์รวมความเคารพและศรัทธาของชาวเหนือ

ถึงดอยสุเทพ ถนนหน้าวัดยามเช้าดูสงบ เศษขยะสองข้างทางยังมีให้เห็น อบต.สุเทพ ผู้รับผิดชอบการเก็บขยะบนดอยยังคงทำงานหนักกับภาระการเก็บขยะจำนวนมาก ขณะภาคีคนฮักเชียงใหม่กำลังเริ่มรณรงค์ เรื่อง”เอาสิ่งใดขึ้นไป เอากลับลงมาด้วย” ปัญหาขยะยังคงเป็นเรื่องขยะที่แก้ไม่ตก

แสงแดดสาดมาที่วัด ที่สร้างตามคติหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ใครจะรู้บ้างว่าพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยสุเทพนั้นก็งามไม่แพ้ที่ไหน เมื่อยืนอยู่บนยอดดอย มองลงไปพื้นราบที่ตั้งของนครเชียงใหม่ยามเช้า หมอกเรี่ยบางเบา มีดวงตะวันโผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าด้านหน้า

อยู่เชียงใหม่มา 20 ปี มองเห็นความงามและความเปลี่ยนไปของเมืองที่จะเละตุ้มเป๊ะยังไง ก็ยังเคารพสายตาที่มองเห็นความงามของผู้สร้างเมือง ภูเขา แผ่นดิน แม่น้ำ และผู้คน หลอมรวมกันเป็นเมืองเชียงใหม่

พ้นวัดดอยสุเทพ ผ่านหน้าพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เวียงวังที่ดูเงียบเศร้ากับการจากไปของสมเด็จพระพี่นางฯ ผ่านหน้าพระตำหนักไปทางดอยปุย เมื่อถึงทางแยกสู่ดอยปุยจะมีป้ายบอกบางเลี้ยวขวาไปบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน  ถนนช่วงนี้เล็กแคบมีต้นไม้ปกคลุมคล้ายเส้นทางไปอ.แม่แจ่ม แสงแดดลอดยอดไม้ลงมาเหมือนไฟจากดวงอาทิตย์ส่องลงบนโลกนี้ที่คือโรงละครแห่งชีวิต

ขับไปเรื่อย ๆ ผ่านสถานที่พักกางเต๊นท์ เลยไปอีกหน่อยจะเห็นภาพตรงหน้านี้!

นี่แหละปีใหม่!

ผ่านพ้นไปสำหรับฤดูการท่องเที่ยว ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวมากเหนือมากมายในช่วงปีใหม่ นักท่องเที่ยวที่กลับมาจากอำเภอปายเล่าให้ฟังว่า ช่วงปีใหม่ที่นั่นถึงกับไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำมัน เหมือนติดเกาะ ร้านอาหารบางร้านให้บริการไม่ไหวถึงกับปิดร้านไปเลย เพราะคนเยอะมาก บางคนต้องนอนค้างอีกคืนหนึ่งเนื่องจากน้ำมันไม่มีขาย ต้องรอรถน้ำมันเข้ามาจากเชียงใหม่ ร้านอาหารร้านหนึ่งขายข้าวไข่เจียวอย่างเดียวมีคนรอจำนวนมาก และคนต้องจ่ายเงินไว้ก่อน แล้วยืนรอ นานแค่ไหนก็ต้องรอเพราะไม่มีอะไรกิน

คนจำนวนมากบอกฉันว่า อุตส่าห์มาจากกรุงเทพ ฉันฟังจนเบื่อ เพราะมีจำนวนอีกมากมาไกลกว่ากรุงเทพ เช่น ตรัง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สวิสเซอร์แลนด์ หรืออเมริกา อยู่เมืองท่องเที่ยวต้องทำตัวรับแขกบ้านแขกเมือง รถติดขนาดไหนก็หุบปากเงียบ ๆ เพราะนั่นอาจเป็นลูกค้าของเรา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ได้ด้วยลูกค้าในฤดูการท่องเที่ยวเช่นนี้

ช่วงเทศกาลบนถนนจึงมีแต่รถทะเบียนต่างจังหวัด ตอนกลางวันถนนบางสายไม่มีรถ แต่ถนนสายนักท่องเที่ยวเช่น ตลาดวโรรส ไนท์บาซ่านั้นรถติดมาก แต่พอวันที่ 2 มกราคม นักท่องเที่ยวกลับไปหมดแล้ว รถรากลับมาเต็มถนนเหมือนคนเชียงใหม่เก็บกดไม่ออกจากบ้านไหนเลยเพราะกลัวรถติด ปล่อยถนนให้แขกบ้านแขกเมืองได้ใช้

คนมาเที่ยวส่วนใหญ่หอบเงินมาใช้ และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการบริการที่ดี ทำให้พวกเขามีความสุข ร้านอาหารหลายร้านในเชียงใหม่ก็มีสภาพไม่ต่างจากเมืองปาย คือคนล้น พนักงานทุกคนตกอยู่ในสภาพเหมือนอยู่ในสนามแข่งขันอันเคี่ยวกรำ มองเห็นสีหน้า และแววตาของพนักงานเสิร์ฟในร้านเหยเกเหมือนวิ่งรอบสนามมาสักสามรอบ ไหนจะต้องยกอาหารถ้วยชามไปมาตลอดทั้งคืน บางคนเท้าบวมเป็นแก้ว บางคนหมดแรงจนมาทำงานวันต่อมาไม่ไหว คาดกันว่าหากรวมระยะทางที่พนักงานในร้านเดิน นำมาต่อกันแล้วคงไกลถึงลำปาง

Pages

Subscribe to RSS - บล็อกของ omaijattava