Skip to main content

สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...

 

เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก

 

สามสี่วันก่อนฟ้าใส แดดจ้า หญ้าตัดเรียบเตียน แม่เดินไปห้องน้ำ ซึ่งเวลานี้สวยมาก ต้นตีนตุ๊กแกยืดยาวคลุมผนังด้านข้าง ที่ประตูหน้า อัญชัญสีม่วงแข่งกันบาน ในห้องน้ำ มีชั้นยาวติดผนังสำหรับวางหนังสือ มีชั้นเข้ามุมอยู่ข้างประตู ตั้งอ่างเขียวขอบเกลียวลายดอกไม้ไว้ล้างมือ ผนังด้านที่เคยเปลือยโล่งนั้น พ่อนำประตูไม้เก่ามาประกบ แล้วแขวนรูปแม่ญิงล้านนากรอบเล็กฝีมือป้าแข แม่ยังกลิ้งโอ่งราชบุรีจากนอกชานไปรองน้ำอาบ ทาหน้าต่างด้วยสีที่เหลือ ม่านบาหลีที่พ่อปลูกไว้เลื้อยลอดหลังคาเข้ามา ทิ้งสายม่านอ่อนๆสีชมพูตรงช่องหน้าต่าง

 

อันที่จริงคนเราไม่อาจบอกได้แน่ชัดหรอกว่าความสุขมาจากไหน เช่นเดียวกับความทุกข์ที่จู่โจมเข้ามา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แดดแจ่มวันนั้น ราวตากผ้าเหนือลานหญ้ามีเสื้อผ้าซักสะอาดปลิวไสว แม่มองดูมันอย่างมีความสุข ผ้าที่ซักเสร็จแล้วอบอยู่ในแสงแดด พื้นหญ้าเรียบเตียน น่าย่ำเป็นที่สุด รอบตัวมีแต่สีเขียว แนวภูเขาสีน้ำเงินเห็นอยู่วิบๆไกลๆ สุขใจประสาแม่บ้านเมื่องานแล้วเสร็จ เหมือนพ่อยามตะลุยตัดหญ้า ในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตเก่าๆ มีถุงมือ แว่นตาพลาสติกกรอบใหญ่กับรองเท้าบู้ต เวลาเราเดินผ่าน และเขาหันมามอง ใบมีดจะชะลอความเร็ว เขาเบาเครื่องแล้วหันมายิ้ม สีหน้าแววตานั้นภาคภูมิระคนสนุกใจ พ่อกำลังเล่นของเล่นเด็กผู้ชายที่ท้าทายความสามารถ สนุกและต้องบากบั่นไปเสร็จ วันนั้นเอง แม่รู้สึกมีความสุขล้นอก และอยากจะนั่งลงเขียนถึงลูก

 

ถ้อยคำหลากไหลวนเวียน เกาะกุมความรู้สึกอยู่ตลอดทั้งวัน แม้ขณะทำงานบ้านจวบจนเย็นย่ำ ระหว่างที่แม่ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ในที่สุด กิจกรรมเคลื่อนไหวต่อเนื่องภายนอกก็ดึงแม่ออกมาจากข้างในสำเร็จ แม้ว่าถ้าได้นั่งลง ลงมือเขียนตั้งแต่คำยังอุ่นๆอยู่คงจะดีไม่น้อย ถึงอย่างไร ความรู้สึกละเอียดอ่อนเฉียบบางซึ่งแฝงฝังอยู่ในเวลาเช่นนั้นก็ไม่อาจลืมเลือน ความสงบ สุขศานติ รื่นรมย์ใจแบบไม่กระโตกกระตากที่แทรกซึมอยู่นั้นเกิดจากความรู้สึกถึงโลกที่มองไม่เห็นอันหนักแน่น รองรับโลกกายภาพที่ปรากฏ มันใกล้ชิดเสียจนเราสามารถดื่มด่ำ ซาบซึ้ง และคล้ายดั่งได้สูดดมกลิ่นหอมตรึงตราของมัน

 

 

กาแฟยามเช้าหมดถ้วยแล้ว ความรู้สึกของแม่เรียบเรียงตัว ความเศร้าเบาบางวันนี้ไม่ต่างจากความสุขวันอื่น ไม่รู้ที่มาแน่นอนเลย อีกสี่วันจะสิ้นเดือน ยังไม่มีเงินเข้า มองไม่เห็นแหล่งที่มา งานที่ใช้อีกนามปากกาหนึ่งจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่านะ สงสัยจังว่าเสียงโทรศัพท์เช้าวันอาทิตย์มาจากบ้านอีกหลังของหนูหรือเปล่า แม่วิ่งมารับไม่ทัน และไม่มีเงินโทรกลับไปหาลูก ...

 

เราจะถือสาอะไรกับสุขเศร้า ในวันที่สงบสุขดีในตัวเอง ประกอบกิจวัตรไปอย่างราบรื่น สอดคล้องเป็นอันดีกับดวงตะวัน เขียนหนังสือเวลาเช้า ทำความสะอาดบ้านยามสาย บ่ายแปลงาน ล้าแล้วก็ไปปลูกต้นไม้ เย็นทำครัว แม่พึงพอใจ ออกปากอวดพ่อ แม่ไม่เศร้าหรอก ดีแล้ว ถึงลูกไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร แม่สงบดี ทำงานได้ และวางใจเพราะรู้ว่าลูกมีความสุข แต่ความรู้สึกของมนุษย์ก็เปลี่ยนไปมาเสมอ ความสุขความทุกข์มักมาไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือไม่มันก็อาจจะแอบซ่อนอยู่แล้วในตัวเรา จากความทุกข์เก่าๆ สุขเก่า ๆ ทุกข์หรือสุขแรกที่เราได้รู้จักตั้งแต่วัยแรกของชีวิต

 

แม่ละเล่นประคองความรู้สึก แต่มักพลาดท่าเสียทีอยู่เรื่อย จิตใจมีกลไกของมัน เติมเชื้อบ้างล่ะ กระพือทุกข์ ขยายสุข ยิ่งถ้าทุกข์จะสามารถคิดให้ทุกข์ได้มากขึ้นอีก แต่ตอนนี้ อย่าห่วงเลย แม่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกจ้ะ คลื่นความเศร้าพลิ้วผ่าน ขณะแม่ยังสงบใจ มองดู และตั้งสติรู้ว่าสิ่งที่ควรทำตรงหน้าคืออะไร

 

เมื่อวานนี้แม่อ่าน “ตามทางสู่เหย้า” ของลอร่า ในหนังสือชุดบ้านเล็ก แม่บอกพ่อว่า เผื่อจะได้พบกำลังใจจากคู่สมรสใหม่ที่ต้องบุกเบิกต่อสู้เริ่มต้นชีวิตในไร่นา หนังสือเล่มนี้บาง ต่างจากเล่มก่อนๆ เรียบเรียงขึ้นภายหลัง จากบันทึกสั้น ๆ และจดหมายเหตุของเธอ ไม่น่าเชื่อเลย สี่ปีแห่งชีวิตชาวนาของทั้งคู่จะต้องผจญกับความทุกข์และอุปสรรคหนักหนาสาหัสเพียงนั้น พายุลูกเห็บ กระแสลมร้อนที่ทำลายพืชผลก่อนเก็บเกี่ยวไม่กี่วัน ลูกชายแรกคลอดเสียชีวิต ไฟไหม้บ้านวอดวายหมดทั้งหลัง หนี้สินซึ่งพอกพูนจนต้องเสียที่ดินไปผืนหนึ่ง แต่ทั้งสองก็ยังคงยืนหยัด มั่นคงซื่อตรงต่อผืนดินไม่ผันแปร มีบางสิ่งแน่นอนล่ะที่แม่มั่นคงตรงต่อ แม้จะแตกต่างกับเขาทั้งสอง พ่อกับแม่นั้นทำนาในทุ่งอักษร แต่ก็ไม่วายถูกกำหนดจากตลาดและพ่อค้าคนกลางเหมือนกัน

 

คิดถึงธาร พร้อมทั้งคิดถึงลุงนนท์ป้ากล้วย ลูกสาวของลุงป้าจากไปอย่างไม่มีทางได้พบหน้าอีก แต่เราสองคนยังได้เจอ ได้ยินเสียงแจ๋วๆจากหนูอยู่เสมอ ไม่ใช่พรากจากตลอดกาล ดวงใจของแม่ ตอนนี้ลำไยทยอยสุกแล้ว แม่ชอบเดินไปเก็บกินเวลาหิวหรืออยากได้อะไรหวานๆ ถ้าลูกอยู่คงจะมีความสุขมาก เราคงมองหน้ากัน แม่ดูลูกยิ้ม คุยจ้อระหว่างเคี้ยวผลไม้แสนโปรด ลูกจะตื่นเต้นกับลำไยกิ่งเตี้ยๆที่ห้อยพวงระย้าแตะปลายหญ้า ซึ่งลูกสามารถคุกเข่าย่อตัวลงเด็ดกินอย่างสบาย ลำไยนี้จะสุกอยู่นานจนเราสองคนกินกันเบื่อไปข้างหนึ่งเลย (ถึงตอนนี้ แม่ก็ขายไปไม่เหลือแล้วลูกเอ๊ย)

 

 

แสงแดดมาแล้ว ดีจัง บางครั้งสายฝน เมฆดำ ฟ้าครึ้มก็ทำให้เราหม่นหมองและรู้สึกเศร้าโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่ไอแดดร้อนผ่าวทำให้เราหงุดหงิด ไม่มีสมาธินั่นแหละ แต่ว่าฝนก็ทำให้รู้สึกสงบได้นะ จังหวะฝนสีขาวที่โปรยปรายลงมาสม่ำเสมอ เม็ดฝนที่คอดเป็นรอยนั้นเหมือนลูกปัดแวววาวร้อยต่อกัน มันหยาดหยดมาเพียงชั่วขณะ แต่ว่าแต่ละหยดที่ร้อยเข้าด้วยกันเหมือนต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด แม่นั่งอยู่ที่เบาะ มุมอ่านหนังสือ มองม่านลูกปัดสีขาวพลิ้วไหลลงมาจากฟ้า ก่อนซึมหายไปบนพื้นระเบียง

 

เมื่อวานน้าปุ้ยมาทานข้าวเย็นที่บ้าน มีของจากปีนังมาฝากด้วย เป็นช็อกโกแลตไส้เหล้ารัม ส่าหรีผืนหนึ่ง ขนมแขก กุ้งส้มกับกะปิ แม่ทำกับข้าวอยู่นาน เคี่ยวแกงส้ม ต้มหน่อไม้หวาน หุงข้าวสีดอกอัญชัญ ลูกจ๋า สีของมันออกม่วงๆฟ้าๆเหมือนสีพลอย พลอยที่ไม่แข็ง ไม่แวววาวแต่นุ่ม ระอุ ซ้ำยังคงรูป เป็นรูปเม็ดข้าวขึ้นหม้อ ดูน่าอร่อยที่สุด ใครหนอชอบข้าวสีนี้ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่หนู กลับมาเร็วๆนะคนดี ขอให้ดอกอัญชัญบานรอท่า แม่จะหุงข้าวที่ลูกชอบ ทำปลาชุบแป้งทอดราดน้ำซอสเปรี้ยวหวาน โรยงาขาว เหมือนที่เรากินด้วยกันวันนั้น และหนูเอร็ดอร่อยกับมันที่สุด แม่จำได้ทุกอย่าง สีสันของอาหาร กิริยาอาการของลูก ยอดดวงใจน้อยๆ หัวใจของเราเชื่อมกัน เมื่อมองสบตา เรารู้ซึ้งถึงสิ่งที่หัวใจเจรจา ต่างเป็นสุดที่รักของกันและกัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป รักษาหัวใจของลูกไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้มันตายด้าน รักษาสายสัมพันธ์ของเรา ไม่ให้เบาบาง เหินห่าง แม่เชื่อและรู้ว่า มันมีอยู่นานแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่มีรูปร่าง ในกาลเวลาที่เราไม่อาจจดจำ ในฝันของแม่ ก่อนที่ลูกจะเกิด

 

แม้ชีวิตจะเป็นสิ่งน่าฉงน แต่ดีแล้วที่เราทั้งหลายไม่อาจจดจำ ไม่อย่างนั้นคงหมดเสน่ห์ หมดสนุกกันพอดี ทุกอย่างถูกรู้หมดแล้ว จุดหมายรู้ชัด คนคนนี้เรารู้จักดี น่าเบื่อ การเดินทางนี้คือทางเดินซ้ำๆ แต่ว่า “ชีวิต” ไม่ซ้ำ เรามาเพื่อเติบโตงอกงาม ขัดเกลาและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความรัก ความสุข เติบโต เต็มเปี่ยม และเป็นหนึ่งเดียว

 

ช่วงนี้แม่อ่านหนังสือมากมายทุกคืนเหมือนเดิม กลับไปหาความชอบที่เด่นชัดยามเด็ก อ่านเฉพาะนิยาย เรื่องเล่า วรรณกรรม ไม่ค่อยชอบสารคดีหรือข้อเท็จจริง เหมือนว่าอย่างแรกนำทางไปสู่โลกนั้นได้มากกว่า โลกอันเรืองรองด้วยมนตรา โลกที่มองไม่เห็นซึ่งหัวใจบอกแม่ว่าจริงแท้เหลือเกิน มันมั่นคงดำรงอยู่ที่นั่น โอบอุ้มรองรับโลกที่เราอาศัย แม่อยากให้หนูอ่านหนังสือเยอะๆไวๆ เป็นนักอ่านเช่นเดียว กับแม่ เราจะได้แลกเปลี่ยน ร่วมอยู่ ซึมซับสิ่งต่างๆ ในโลกใบนั้นด้วยกัน รื่นรมย์อยู่ในความสุขเดียว ดื่มด่ำกับบทเพลง กลิ่นอายแห่งบรรยากาศที่เรื่องเล่าดีๆรังสรรค์ พี่เชนชอบหนังสือต่างจากแม่นะ แต่ลูกนั้นยังไม่รู้ แม่รู้ว่ามันยากที่คนเราจะชอบหนังสือประเภทเดียวกัน ยากที่คนเราจะเหมือนกัน ต่อให้สนิทสอดคล้องต้องกันทางความคิด แต่จริตนิสัยก็ไปคนละทาง แต่ว่าไม่เป็นไร เมื่อลูกหรือแม่อยู่ในนั้น หรืออยู่ข้างนอก เราเชื่อมโยงกันเสมอ แม่จึงไม่เคยรู้สึกจริงๆว่า ลูกจากแม่ไปไกล

 

สำหรับแม่ นับวันโลกนั้นยิ่งเป็นจริงมากขึ้นทุกที มันเป็นโลกที่น่าเชื่อถือ น่าเข้าเป็นประชากรอาศัย น่าพิทักษ์รักษา อุทิศชีวิตจิตใจ ไม่ใช่โลกที่เป็นอยู่เช่นจานดาว เทียมที่บ้านเราเพิ่งได้มาเปิดเผย โลกอันน่าสังเวชของความขลาดเขลา ของเหล่าเด็กน้อยซึ่งแสวงหาความสุขที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความสวยงามและความอมตะของร่างกาย แม่มองโฆษณา ดูรายการขายสินค้าคั่นความบันเทิงไร้สุนทรี โลกนั้นกำลังขับร้องท่อนหลักของมันอย่างบ้าคลั่ง และทำให้ทุกคนร้องตาม กีดกันเสียงเล็กๆของหัวใจ หัวใจที่สงสัยและตั้งคำถามถูกขู่ปรามจนหดหัวซ่อนอยู่ข้างใน ในที่สุดก็บอกตัวเองว่า ฉันคงเป็นฝ่ายผิด โลกเขาดำเนินไปเช่นนี้ นี่แหละกระแสหลัก นี่คือสิ่งที่เป็น ฉันสิต้องเป็นฝ่ายยอมรับ จะไร้เดียงสาอยู่อีกไม่ได้แล้ว จะเรียกร้องหาสิ่งดีงามถูกต้องทื่อๆได้อย่างไร มีความซับซ้อน มีเงื่อนไขปัจจัยที่ต้องซอกซอนหาหนทางที่ชาญฉลาดและเป็นจริงได้มากที่สุด โอ้ หัวใจดวงน้อยที่น่าสงสาร มันไม่อาจรำงับได้เลย มีวุฒิภาวะหรือ พลเมืองดีผู้จงรักภักดีต่อผืนธงไตรรงค์หรือ ไม่ว่าจะด้วยกระทะ เครื่องปั่นเอนกประสงค์ เส้นใยอัดเม็ด สมานฉันท์ อนุรักษ์ สมุนไพรละลายไขมัน เข็มขัดลดหน้าท้องหรือคอร์สออกกำลังก็ไม่อาจมั่นคงวางใจ และสงบน้อมยอมต่อชีวิตได้ ต่อให้สะเดาะเคราะห์ สักยันต์ หรือดูดวงโดยหมอดูฟันธงคอนเฟิร์มคนใด จงรักภักดีหรือยึดมั่นท่องบ่นคาถา สวย รวย ดี มีสุขภาพ นั้นก็ยังไม่พอ หัวใจอยู่ในระนาบกว้างใหญ่ ชีวิตก็ยาวไกล ลึกล้ำเกินกว่านั้น

 

พระเจ้าสัจจะอยู่ทุกหนแห่ง ในหัวใจเราสอง ในดอกไม้ สายฝน และส่ำเสียงแทรกซอนซับซ้อนจากธรรมชาติ ทรงมีถ้อยคำสำหรับเราแต่ละคน ฉะนั้นอย่ายึดกุมสัจจะไว้เลย อย่าได้ถือว่าความคิดรวบยอดที่เธอประจักษ์หรือหยั่งรู้นั้นคือที่สุด เป็นสัจธรรมอันเหมาะสมสำหรับทุกคน เพราะว่าพระเจ้าของช่างไม้นั้นพูดจาประสาช่างไม้ พระเจ้าของชาวนาพูดอย่างคนรู้จักวัวควาย และการงานในท้องไร่ท้องนา ส่วนพระเจ้าของคนสวนนั้นมีสีเขียว พระเจ้าของแม่พูดกับแม่ด้วยภาษาของงานบ้าน ลูก สามี หนังสือ ต้นไม้โดยช่องทางที่แม่เข้าใจ แม่จึงรู้ว่าพระองค์ได้ตรัสกับคนอื่นๆด้วยในแบบที่แม่อาจจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ตัวแม่เอง บางครั้งก็ยังไม่ทราบเลยว่า พระองค์กำลังพูดอยู่ข้างหู

 

แต่บรรดาผู้ที่เชื่อว่าตนยึดกุมสัจธรรมนั้นล้วนโหดร้าย เขามักก่อพฤติกรรมผ่านวาจาและการกระทำโดยอ้างความดีงามถูกต้อง แม่ไม่ชอบอยู่ใกล้คนเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่หัวใจซื่อๆของเราไม่อยากจะรับฟัง หัวใจนั้นมีธรรมชาติอยู่ในโลกอันแผ่กว้างลุ่มลึก ละเอียดอ่อนยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว มันไม่อาจฝืนทนการบีบจำกัด ในผู้คนที่ความคิดตกผลึก ตัวตนแข็งแห้ง เหล่านักคิด นักวิชาการผู้เชื่อว่าตนรู้เห็นเข้าใจความเป็นไปของสังคมดีแล้ว นักบวชหรือผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่คิดว่าตนเห็นโลกเห็นชีวิตจนพอเพียง หยั่งรู้ และตั้งตนสอนสั่งสัจธรรมชุดหนึ่งซึ่งเชื่อว่าคือทั้งหมด ขอเราอย่าอยู่ใกล้พวกเขาเลย มนุษย์ผู้รู้น้อย รู้ไม่รอบ ซึ่งคิดว่าตนรู้ดี และพยายามยัดเยียดสิ่งที่รู้แก่ผู้อื่น ขอเรามาอยู่ร่วมกับผู้คนเดินดินธรรมดา ผู้ที่หัวใจยังไม่ถูกความคิดครอบงำ ยังเหลือธรรมชาติ สัญชาตญาณที่จะโกรธ เกลียด รัก ร้องไห้ เสียใจอย่างซื่อ ๆ รวมทั้งรู้จักเมตตา

.....................

 

สมมติว่าลูกเข้าใจแม่ เข้าใจดีทุกคำ ทั้งที่ได้พูดออกมาและละไว้ในความเงียบ วันนี้ หรือว่าวันหน้าก็ได้ ส่วนในโลกที่ไม่มีวัน ไม่มีกาล ไม่มีเด็กหรือผู้ใหญ่ วันทุกวันมีอยู่วันเดียวนั้น เราย่อมเข้าใจกันเสมอ ...

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...
รวิวาร
ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียก’เรา’ นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี …
รวิวาร
* แต หรือเขียง สิ่งก่อสร้างสำหรับแบ่งน้ำในลำเหมือง มี ต๊าง บากเป็นช่องสำหรับให้น้ำผ่านตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะปันให้นาแต่ละเจ้าเท่าใด * อ่าน จุดจบแห่งจินตนาการ  อรุณธตี รอย
รวิวาร
คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว…
รวิวาร
ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน
รวิวาร
  ตัวเป็นๆ   ‘อาว์’ อยู่บนรถเข็น มองมาด้วยดวงตาลึกงัน รอบข้างคือความเคลื่อนไหว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การพูดคุยโบกไม้โบกมือ สตริงควอเท็ตมือสมัครเล่นจบไปแล้วค่ำนั้น งานหนังสือในสวน  ข้าพเจ้าเดินผ่านสายตากราดปะทะ แต่มิได้เข้าไปหา  เหมือนโลกหยุดนิ่งชั่วขณะ ช่วงเวลาอันควรมาถึง แต่ข้าพเจ้ากลับปล่อยผ่าน ลูกและสามีเร่งยิกๆ ให้กลับ เฉกเช่นด้านบัดซบของความจนปล่อยลอยผ่าน รวมเรื่องสั้นรอซื้อสำหรับส่งไปบูชาครู รดน้ำดำหัวที่โป่งแยงคราวสงกรานต์ ข้าพเจ้าให้เผอิญอยู่ไกล ไม่ได้ข่าว ขาดงบประมาณบ้าง มิได้กราบอาว์จริงๆ สักครั้ง
รวิวาร
ชื่อชั้น (2) รึจะเป็น ใต้ถุนป่าคอนกรีต สนิมกรุงเทพฯ หรือ? สำมะหาอะไรกับความทรงจำของเด็ก ข้าพเจ้าพยายามเดาจากรายชื่อหนังสือที่พิมพ์ก่อนปีเกิด แต่ก็หมดปัญญา
รวิวาร
อ่านแรก (1)   ข้าพเจ้าจำได้ ตู้ไม้กรุกระจกใบย่อมใต้หิ้งพระบ้านยาย นอกจากข้าพเจ้ากับน้องจะยึดประตูของมันคนละบาน ใช้ปลายเท้าจิกลงบนกรอบไม้ชิ้นบางที่ยึดแผ่นกระจกด้านล่าง ขณะสองมือเหนี่ยวกรอบบนเท้าข้างหนึ่งถีบพื้นกระดาน แนบร่างกับแผ่นกระจก เหวี่ยงประตูเข้า ๆออกๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตู้หลังนั้น ใบเดียวกับที่ตั้งอยู่ข้างตัวยามนี้ อัดแน่นด้วยหนังสือ ยัดทะนานความคิดความรู้สึก
รวิวาร
หมุนวนแต่ไม่ได้หมุนรอบ ซ้ำซากอยู่กับที่ หรือทุกข์ทรมานเหนื่อยล้าราวถูกตีตรวน มันคือรอบของเกลียวที่หมุนขึ้นสู่เบื้องบน ส่งสัญญาณชัดแจ้งตั้งแต่ตอนแรกแล้วในดีเอ็นเอ วงโคจรแห่งดาว กำเนิดจักรวาล ชีวิต วงหมุน สังสารวัฏ รอบซึ่งมีทิศทะยานขึ้น พัดพาเราหนุนเนื่องไหลตามไป ขออย่างเดียว แค่อย่าเขลาไถลลื่นลง ถึงอย่างนั้น การย้อนศรชีวิตก็ไม่น่าง่าย เพราะมันขัดกับตัวชีวิตเอง แม้จะมีความโง่เขลายิ่งใหญ่ในการทำลายตัวเองหนุนโลกอยู่โต้งๆ ...คุณก็รู้ สัตว์ป่าออกครอบครองพื้นที่แถบเชอร์โนบิล พวกมันจับจองเตาไฟ พื้นกระท่อมที่ถูกทิ้งร้าง หลังผู้อาศัยอพยพหนีรังสีนิวเคลียร์ คุณก็เห็น เวทีเล็กเวทีน้อยที่ชาวบ้านไหวตัว…
รวิวาร
  ฉันตื่นมาตอนหกโมง หมอกลงฝอยขาวโพลนจนมองเห็นเพียงใกล้ๆ อากาศหนาวจนตัวสั่นไปหมด  วันนี้เช้าและหนาวเกินกว่าจะไปสวรรค์...
รวิวาร
      มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเราก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไป พวกเขาทำกับเราเช่นนั้น เหล่านักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ถูกดูดดึงด้วยเวทมนต์บางอย่าง ถูกสะกดและแปลงเปลี่ยนผัสสะด้านใน ฝนไม่เป็นฝนดังที่คุณรู้สึก เจมส์ จอยซ์ทำให้มันเต็มไปด้วยความสับสนกระวนกระวายและโศกเศร้า คุณค่อยๆหลุดหาย หายไปในเมืองที่ดรออิ้งภูมิภาพไม่เข้มชัด ภาพเขียน ซึ่งไม่เหมือนจริง ภาพถ่ายที่คมชัดในรายละเอียด เหมือนก้อนทึบ บลุบเบลอ ทว่าแน่นหนักด้วยโทนอารมณ์รู้สึก ต่างกับเรื่องเล่าที่ดำเนินด้วยเหตุการณ์ พล็อตฉับไวของสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรียงลำดับตามแบบแผน ผู้คนที่กำลังถูกไล่ล่า…
รวิวาร
เหมือนความเศร้านั้นมีมวล  แผ่จับและหนักอึ้งอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ในดวงตาก้มต่ำ ริมฝีปากเงียบงันล่องลอยยังที่ใด ตัวมันเองไม่ต้องการคำถาม ไม่สรรหาคำอธิบายมาบอก ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องใต้นั้น ภาษาก็อับจนหนทาง