Skip to main content

ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียกเรา นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี  บ้างขึ้นอ่านบทกวีโดยมีบอดี้การ์ดคอยพยุง กวีผมสีดอกเลาหัวใจหนุ่มแน่นตลอดกาล อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น-แสงเมา ศรัทธาม่วนนั่นเอง

ความหลากหลายแพร่ผ่านมายังตีนดอย  อันเนื่องจากการปะทะสังสรรค์ผ่านวัฒนธรรมกินดื่ม  ที่จริงก็ได้เกิดนับเนื่องมาก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนพู้น ที่น้องชายถิ่นอีสานมาแกงอ่อมหมูใส่ยอดฟักทองหลังบ้าน และไม่กี่วันก่อนวันงาน เพื่อนสาวจากคลองบางกอกน้อยอุทิศตนยำถั่วพู ปลาดุกฟู ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กับข้าวคลุกกะปิเลี้ยงดูเรา



พลพรรคสุดสะแนนกางเต็นท์กลางลานบ้าน ผ่อดอย ผิงไฟแรมคืน นอกจากจิบเครื่องดื่มบำรุงน้ำใจ และสืดสมุนไพรม่วนจิตไม่คิดร้ายแล้ว หมู่เฮายังขมีขมันผลัดเปลี่ยนกันเข้าครัว  อ้ายมหรรณพนึ่งไก่ตะไคร้โชว์ในฐานะเจ้าบ้าน ภรรยาอ้ายลุกไปทำน้ำจิ้มรสแซ่บกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวอย่างรู้หน้าที่  ขณะนั้นเย็นเต็มที  พวกในครัวแอบฟังอ้ายน้อย-อัคนีผู้ซึ่งเพิ่งเปิดตัวหนังสือ ซิมโพเซียม (
symposium) ของเพลโตหมาดๆ กล่าวสรรเสริญความงามของดอยหลวงเชียงดาวว่า นับเป็นความงามทางอภิปรัชญาโดยแท้ ประหนึ่งไม่ให้เสียยี่ห้อผู้แปล  ส่วนอ้ายแสงดาวนั้นเล่าก็วุ่นวายอยู่กับหมูหมากาไก่ ห่วงแต่มันจะหิว คอยหาน้ำไปให้ เก็บกระดูกไก่ไว้อย่างดี ไถ่ถามทุกเช้าเรื่องให้ข้าวไก่รึยัง สมดังที่เอ่ยอ้างเป็นนิจสิน เคารพรักเพื่อนสรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำปรสิตจุลินทรีย์

ฉันตื่นเต้นก็วันที่นักดนตรีเข้าครัว ก็เมากันแล้ว เมาน้ำมิตรน้ำใจ (และน้ำเมา) เจ้าบ้านเองมีอาการรากงอก กับข้าวเลิกทำ ตลาดก็ไม่ไป  พ่อครัวใหญ่เจ้าของเมนูเด็ดรี่ไปตลาด ก่อนกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมไก่บ้านตัวเขื่องถอนขนชำแหละพร้อม ไก่อีกแล้วหรือ โธ่ ก็ปลาที่บางคนกำชับนักกำชับหนายังไม่ขาย อาจเช้าเกินจะประหัตประหาร แต่ว่า เพราะได้ไก่มา เราจึงได้ลิ้มลองเมนูเลิศรส

 



ฉันคว้าสมุดจดเล่มบาง ดู ซักถามอยู่ข้างๆ และชิมตัดหน้าทุกคนเพื่อจดจำรสชาติ  ยำไก่ใส่ใบผักแพวของหนุ่มฮวกเมืองอุบลรสชาติเขย่าลิ้นและพาต่อมรับรสเริงร่า พวกมันขอบคุณเราไม่ขาดปากที่ทำให้มันซาบซึ้งถึงความหมายที่ว่า พระเจ้าสร้างชิ้นส่วนน้อยๆใต้แผ่นลิ้นนี้ขึ้นมาทำไม ขอคารวะ ทั้งเพลง ดนตรี กวี และฝีมือทำอาหารนะเพื่อนฮวกที่ทำให้จิตวิญญาณเราทั้งหลายบังเกิดชีวิตชีวา  ที่บดเคี้ยวกบกะเพราอยู่ข้างๆ ชวด คู่หูร่วมวงก็ไม่ขัด แย้ง  หลังตวัดช้อนแรกลงคอ เขาเฝ้าเฟ้นหาคำเยินยอจานผัดอันแห้ง หอม และเผ็ดร้อน

 



เราเล่าว่ากำลังอ่าน หลิวศักดิ์สิทธิ์* เขาแลกเปลี่ยนชีวิตชาวญวน ยำไก่กับอีกหม้อที่ทยอยตามมา ไก่ต้มขิงขลุกขลิก คือเมนูสืบเนื่องจากไก่ไหว้เจ้าช่วงตรุษเต๊ด  หลังจากเมามายอ่อนล้า สืดสูบ พูดคุยจนเสียงแหบแห้ง  อาหารมื้อนั้นเหมือนมือประโลมจากสวรรค์  เช้าสุดท้ายก่อนถอนเสาเต็นท์ พ่อครัวคนเก่งยังไม่วาย  เรียกเรากลับจากความตายด้วยข้าวต้มหอมกรุ่นซึ่งเนรมิตจากข้าวกล้องเปล่า


หลากหลายกันอยู่ที่งาน รอบกองไฟประชันกลองหลายแนว  บนเวทีกีตาร์กล่าวหลายสำเนียง เต็นท์
tepee หรือกระโจมอินเดียนแดงกางอยู่ทั่ว บนเนิน ข้างโขดหินใหญ่ หรือลาดลุ่มลี้ลับริมลำห้วย ภายในกระโจมก่อกองไฟ ร่ายดนตรี บทกวี กับเวียนกล้องยาอบอุ่นทั้งคืน ที่ตีนดอยก็ไม่น้อยหน้า ดนตรีอาจเบาบางบ้าง พี่น้อยเล่นเพลงบูชาดอยหลวงที่แต่งเองเพลงสองเพลง คลอด้วยเสียงร้องของลูกสาววัยอนุบาล แต่เราก็มีมากหลากหลายในจอกและจานอาหาร ผู้มาเยือนจากเชียงใหม่นำเหล้าสะเอียบ รสชาติกลมกล่อมแบบแก่งเสือเต้นมาเผื่อแผ่ถ้วนหน้า เสียดายเหล้าเจ้าภาพเมืองคองลงดอยมาไม่ทัน สองอย่างนี้คล้ายกัน ใสแจ๋วเหมือนหยดน้ำค้าง นุ่มนวลแต่ซ่อนความร้อนแรง

เราก็มีเครื่องดื่มบำรุงน้ำใจของเรา ซึ่งหากดื่มนิดๆพอชุ่มลิ้นชุ่มคอ ไม่ถึงแก่สิ้นสติ เสียการทรงตัว ก็จักช่วยชูรสวงคุยแลกระชับน้ำมิตร  สูตรนี้ผลิตที่เชียงดาว แต่ต้นตำรับมาจากสาวญี่ปุ่น ปีนี้เป็นเหล้าบ๊วยกับเหล้ากระเจี๊ยบ บ๊วยมาจากยอดดอยอ่างขาง ส่วนกระเจี๊ยบมาจากริมรั้วปลูกเมื่อต้นฝน กระเจี๊ยบในโถดองเล่นๆมา 8 เดือนแล้ว ได้ฤกษ์พอดี  บ๊วยนั้นดองนานปานกัน รสแสนนุ่ม หอมนวล ออกเปรี้ยวๆ อมหวานคล้ายน้ำผลไม้ แน่นอน หมดไวกว่า


เสียดายพี่กวี นักดนตรี สุวิชานนท์ไม่มา แต่ก็ส่งสิ่งแทนน้ำใจเป็นข้าวกล้องให้ได้ต้มกินวันนั้น รวมทั้งกาแฟลาวที่ชงแจกจ่ายยามเช้ากับเหล้าข้าวเหนียวใสๆ ร้อนแรงสิ้นดี  เพื่อเป็นการระลึกถึงพี่ เราปลิดหัวปลีจากต้นมาต้มกับมะขามและปลากระป๋องล้างพิษหลังงานเลี้ยงเลิกราเสียเลย ครบแล้วล่ะ ความหลากหลายแบบเรา พลพรรคสุดสะแนนแดนอีสาน ของฝากและสูตรอาหารจากพี่ชายชาวใต้  อาหารภาคกลางจากชาวบางกอกน้อย และเรา กับผักนึ่งจิ้มน้ำพริกหนุ่ม แกงถั่วฝักยาวใส่เห็ดหูหนูแลยอดชะอม  ประสมประสานอย่างชื่นบานด้วยมิตรภาพและความรู้ผ่านจานแบบบ้านๆ 


ไม่ใช่โอต์คุยซีน  ไม่ได้กินในภัตตาคาร ดิบๆลุยๆ ชำนิชำนาญอยู่ในครัวซึ่งพื้นเป็นดิน ฝาทำจากเศษไม้ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แลก เปลี่ยนรอยยิ้ม ทรรศนะ เรื่องขำขันและการอำไม่เว้นวัย  วันซึ่งคนสำราญท่ามกลางธรรมชาติสวยสำเริง  ม่วนใจ๋แบบนี้ ความหลาก หลายของหมู่เฮา...

* หลิวศักดิ์สิทธิ์,เยือง เวิน มาย เอลเลียต เขียน,วิภาวรรณ ตุวยานนท์ แปล,คบไฟ,2545

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง