Skip to main content
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมา

ไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  

ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า ซึ่งเป็นที่พอใจแก่เจ้า

แหละข้างใน ยังมีบางอย่างคอยขัดขวางอยู่ คล้ายความรู้สึกปิดกั้นในอันที่จะไม่พูดออกมา เหมือนความรู้สึกไม่อยากคุยโทรศัพท์ ไม่อยากกดเบอร์โทรศัพท์ของใคร ทว่าเมื่อได้พบปะกันตามธรรมชาติ เรากลับพูดคุยไม่หยุด

จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องสื่อสารความคิดเหล่านี้ออกไป บรรดาความคิดข้างในที่เฝ้าฉงน กังขา วิเคราะห์ ตรวจตรา ขบคิดสิ่งต่าง ๆ นานา เรามองหาอารมณ์ที่พอดี ๆ ในการพูด เรามองหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร  มั่นใจเพียงไม่ใช่กฎเกณฑ์ประดามีเกี่ยวกับการเขียน

“อ้าย” เรียกที่นี่ว่า กระต๊อบ “ตูบตีนดอย”

20080124 กระต๊อบ ตูบตีนดอย 

รอคอย ให้การเขียนของเราดุจปีกเหยี่ยว มันขยับ ปรบเบา ๆ เท่านั้นเองขณะร่อนวนลงเพื่อเพ่งหาภักษาหาร จากนั้นเมื่อสบนัยน์ตาเรา หรืออาจได้กลิ่นกายอันผิดธรรมชาติที่อาบบนร่าง โดยความคิดว่าเหยี่ยวอาจมีผัสสะนาสิกแหลมคมดุจเดียวกับนัยน์ตา มันบินวนขึ้นไป กิริยาที่ไม่อาจเรียกว่าบิน เพียงปรบปีกสองสามครา เหินลอยงามสง่า เงียบกริบ แล้วเมื่อสายลมโอบอุ้มได้สัดส่วนพอดิบพอดี มันลอยละล่อง  นุ่มนวล ไม่ต้องพะวงประคอง

หัวใจ กล่าวออกมาเถิด หรือเจ้ารักที่จะเงียบงัน หรือภาษานั้นแปลกแยกแผกเจ้าเสียแล้ว เจ้าเคยพบหนทางซึ่งภาษาได้เป็นอิสระจากภาษา ปลดปล่อยข้า และปลดปล่อยเจ้า เพราะเมื่อหัวใจพูด หัวใจจะรับฟัง

เสียงของความคิดท่วมท้นอยู่บนหน้ากระดาษ ในหนังสือพิมพ์ หน้านิตยสาร ที่ใดที่หัวใจเล็ดรอดออกมาได้ หัวใจดวงอื่นถูกดึงดูด เอิบอาบดื่มกิน ขออย่าจากฉันไป แม้เพียงเสี้ยววินาที หัวใจเอ๋ย อย่าให้ฉันละเลย หลงไปในเสียงแห่งข่าวสารประจำวัน และกิจกรรมต่าง ๆ ทัศนะนานาของมนุษย์ ขอให้ฉันได้ยินเสียงของความรู้สึก สัมผัสถึงถ้อยคำของพระเจ้า เช่นที่ผุดขึ้นในบทเพลง ปีกนกเหยี่ยว แสงดาวหนาวเย็นยามค่ำ และรอยยิ้มของเด็กหญิง

กวีร้องว่า นิจจา โลกเอ๋ย สวรรค์ถูกละเลยลืมสิ้น  
มนุษย์มีหู หากขาดการสดับยิน  วิญญาณ สูญสิ้นวจี  
แล้วร้องร่ำโลกเอ๋ย อย่ากระนั้นเลย ตื่นเถิด  
ปวงเจ้าหลับใหลนานเนิ่น
พิภพร่ำไห้ สวรรค์ห่าง  
ฟื้นสิ คืนสู่สัจจา หาไม่แล้ว วิญญาณแก้ว ลอยสูญ


กระต๊อบ “ตูบตีนดอย”   คำเรียกนี้ทำให้หัวใจรำลึกขึ้นได้ว่า  เรามาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด  แม้ที่อยู่อาศัยตรงหน้าจะเป็นบ้านไม้ผสมปูนหลังย่อม และอาจขยายใหญ่ เพื่อให้เพียงพอสำหรับลูกสาวสองคน  แต่ “อ้าย” กลับเรียกมันว่า “ตูบตีนดอย”   นั่นเป็นการประกาศหัวใจอันเรียบง่ายของมันออกมา  “อ้าย” มาเยือนเมื่อเข้าหนาวค่อนแล้ว  อากาศเหน็บหนาวเย็นเยือก  เราก่อไฟผิงยามคืน  สนทนายามวัน  ยิ้มหัว  พูดคุย  รักกันและกัน  เมื่อเหนื่อยล้า  อ้ายถอดรองเท้าเหยียบย่ำพื้น  พวกลูกหมาวิ่งตามด้วยความประหลาดใจ

ที่อ้ายแลเห็นคือกระต๊อบเล็ก ๆ ซึ่งเสงี่ยมเจียมตัว ปรารถนาน้อย และเคารพฟ้าดิน  กระท่อมของเราที่อยู่แทบเท้าขุนเขา  บ้านซึ่งเปลือกนอกดูมั่นคงแข็งแกร่งนั้น แท้จริงพึงเป็นเพียงที่พักพิงที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยซึ่งกำเนิดจากธรรมชาติไม่ถูกปิดกั้นจากแม่พระธรรมชาติ   

หลังคากระต๊อบทุกแห่งล้วนสร้างด้วยฟางหญ้า  บางวันอาจมีเม็ดฝนหยาด  กลางคืนเปิดช่องแก่แสงดาว  พื้นฟากนั้นคือไม้ไผ่สับ เผยที่ว่างให้ลมแทรกพัด  หนาวนักก็ปูเสื่อนอน  ฝาเรือนคือผิวไผ่สาน  ยาด้วยมูลสัตว์กันลมหนาวปะทะ  

สองสามีภรรยามัวแต่หมกมุ่นวิตกกังวลกับอาหาร เงินทอง  พะวงถึงอิฐก้อนต่อไป  ไม้กระดานแผ่นหน้า  หน้าต่าง เสาเรือนที่จะเสาะหามาเพิ่ม  ลืมไปว่า สิ่งใดนำพวกตนมาที่นี่  ลืมว่าที่แท้ชีวิตต้องการสิ่งใด  เรามั่งคั่งฟ้ากุหลาบสนธยา  ดวงดาวระยิบพราวคืนค่ำ  ฝ้าหมอกยามอรุณ   กลางวัน สายลมรำเพยพัดไม่หยุดหย่อน  แมกไม้ห้อมล้อม  ฤดูกาลเสกสรรสารพันบนผืนดิน  หน้ากระดาษของเรายังว่างเปล่า  ผืนดินยังรอการไถหว่าน  เรามาอยู่เพื่อสร้างสรรค์ชีวิต ทั้งภายนอก ภายใน  ชีวิตเราลำพัง  ชีวิตเรากับคนที่เราเลือกร่วมชีวิต  เด็กน้อย   พืชพันธุ์สัตว์เลี้ยง  และเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป  ผ่านสายสัมพันธ์บนแผ่นกระดาษ  

วันเดินทาง “อ้าย” ขอกระดาษสาแผ่นหนึ่ง  ตวัดปากกา จารบทกวีมอบไว้  พร้อมกล่าวกำชับว่า  ขอให้ประทับรักษาไว้  และให้พวกเราทั้งสี่วาดรูปประกอบตามใจนึก

.......................
บทกวี บ้านชีวิต

ตั้งตระหง่าน สูงเทียมเมฆ เทียมฟ้า
พราวเดือนดาว ดวงตาวัน ธารอำไพ
พริ้มพราวพร่าง สุกสว่าง กระจ่างใส ทุกเพลา

ณ กระต๊อบ ตูบตีนดอยหลวง
คือรังรวงชีพชีวิตแห่งเพื่อนข้า
บ้าน มหรรณพ ,รวิวาร,วงธาร,ชาวาร์
บ้านชีวี เกื้อโลกหล้า งามนิรันดร์

สายลม แสงแดด ผีเสื้อ ดอกไม้ แมลงปอ ไร้ทุกข์โศก
โลก เอกภพ จักรวาล สราญรมย์สุขสันต์
บ้านชีวิต บ้านดงป่า บ้านชีวัน
แม่พระธรรมชาติสร้างสวรรค์ อวยพรชัย มอบแด่เธอ

We love you
ด้วยรักอันงดงาม + พลังใจ
อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่นและผองเพื่อน
6 ธันวาคม 2550 ,ล้านนา เจียงใหม่

สำหรับฉันแล้ว  บทกวีนี้เปรียบดั่งการเจิม  ทุกคำเปี่ยมด้วยรัก ปรารถนาดี และออกมาจากหัวใจ  เราไม่จำเป็นต้องสรรหาชื่อสวย ๆ งาม ๆ มาขานเรียกบ้านอีกแล้ว  ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ใดเพื่อความสุขความเจริญในการอยู่อาศัย   อ้ายทำให้เราจดจำรำลึกถึงการมีชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมชาติน้อมนำ  ชีวิตแบบที่จึงปกติสุข งอกงาม

นี่คือความศักดิสิทธิ์ยิ่งกว่าสายสิญจน์ มนตราใด
คือพรขึ้นเรือนใหม่ ดุจคาถามิ่งมงคลชัยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกิจกรรม
อันจะออกมาจากทุกชีวิตในบ้านหลังนี้

ยินดีเจ้า อ้ายปี้แก้ว  แสงดาว  ศรัทธามั่น

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…