แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทาง
ไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก
‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม ส่วนหัวครึ่งหนึ่งเป็นสีเหลืองคล้ายจะงอยปากนกเอี้ยง เธอเป็นหนึ่งในบรรดาผู้อพยพมาใหม่เช่นเดียวกับแซงแซวหางบ่วง บินลงมาขอเศษหญ้าที่สามีฉันตัดทิ้งไว้ไปสานรังในบ่ายปลอดฝน แต่ถูกสุนัขหวงก้างคอยเห่าไล่
ต้นไทรที่แตกกิ่งก้านโอบหุ้มไม้ประดู่คือคอนโดมิเนียมของเธอและเหล่านกน้อย นกนานาชนิดส่งเสียงจิ๊บจ๊าบ บินลงมาหาเศษหญ้าและใบไม้แห้งพร้อมกับจิกหาอาหาร พวกมันกำลังทำตัวให้อ้วน และแข็งแรงสำหรับให้กำเนิดลูกน้อย มีหนอนและไส้เดือนอวบ ๆ มากมายในดินเช่นเดียวกับแมลง หอยทาก หิ่งห้อย และเขียดตะปาด ฝนมอบอาหารแก่โลก ผืนดินเปียกนุ่มไหวตัวเรียกเมล็ดพืชและสัตว์ออกมาจากรู จากเปลือกและดักแด้ พวกมันเสาะหาอาหารเลี้ยงตัวจนแข็งแรงแล้วจึงชวนกันสืบต่อชีวิต นกหนุ่มสาวที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ร้องสื่อสารทั้งวัน พูดคุย บอกแหล่งอาหาร ส่งข่าวเรื่องแหล่งน้ำ รวมทั้งข่าวคราวของนักล่า
ทุ่งกว้างหลังบ้าน เหยี่ยวทุ่งขาวเทาตัวเขื่องบินลอยต่ำในท้องฟ้า มันชะลอตัวนิ่ง ปีกหยุดกระพือ กางกรงเล็บออกชะงักค้างชั่วครู่ ก่อนทิ้งหัวดิ่งลงในพงหญ้าอย่างรวดเร็ว แต่...พลาด! พ่อแม่นกลนลาน เรียกลูกเรียกคู่ขวัญกลับรัง ... ไม่เป็นไร ๆ นี่ไม่ใช่เหยี่ยวภูเขาตัวใหญ่สีน้ำตาลแห่งฤดูหนาวที่ชอบมาป้วนเปี้ยนแถวคาคบไม้
ฤดูกาลเป็นวาทยากรกำกับสรรพชีวิต นก สัตว์ทุ่ง เมฆฝน หมอกหนาว และละไอร้อน สรรพสิ่งสมเหตุผล ดำเนินตามปัจจัย รวงรังปักษาสร้างแล้วเมื่อต้นฤดู จากนั้นไม่นาน ลูกน้อยขนอ่อนอุยก็ก้าวขาสั่นเทาออกจากรัง ค่อย ๆ กระโดดโผไปเกาะตามกิ่งก้าน ก่อนรวบรวมแรงใจร่อนบินในที่สุด....
ฤดูกาลของมนุษย์เล่ามีสิ่งใดเป็นเครื่องหมาย ใครกันอาจบอกได้ว่าเราคือลูกนกขนอ่อน ไม่ยอมสอนบิน คนที่เราเคยเชื่อถือบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรกลับไปอยู่ใต้ปีก ฟากฟ้าเสรีนั้นอันตราย เพราะเหยี่ยวสีเทายังจดจ้องไม่เลิกรา พ่อปักษีแม่ปักษามีสัญชาตญาณสัตย์ซื่อ ชาญฉลาดและสอดคล้องกับกฎแห่งทั้งมวล พวกมันรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลา แหละลูกนกก็ไม่เคยลืมท้องฟ้ากับการบิน มันจดจำได้ดีถึงสายลมใต้ปีก รู้สึกถึงพละกำลังในกระดูกเล็ก ๆ และปอดที่โป่งพองลม
เขาใช้สิ่งใดเป็นเครื่องตัดสินว่า เรายังปีกไม่กล้า ขาไม่แข็ง ผู้ใดกันจะอยู่ยงคงกระพันเป็นพ่อแม่นกคอยปกป้องเราตลอดกาล แม้ฟากฟ้าจะมืดคลุ้มด้วยพายุ แม้การเติบโตจะหมายถึงการผละจากรวงรังอันอบอุ่น ไปเผชิญชะตาฟ้าอย่างโดดเดี่ยว แต่เราก็ต้องการจะโบกบินไปให้ถึงที่สุด ไปพบ ไปเผชิญหน้า ไปค้นคว้าหาขอบฟ้าใหม่ เพื่อที่จะเติบโต เข้าอกเข้าใจ และสร้างรวงรังของเราเอง เราต้องการเป็นพ่อแม่ของเรา และให้กำเนิดลูก ๆ ของตน ไม่ใช่นกน้อยตัวโข่ง -พลเมืองอมมือที่มีพ่อคอยพิทักษ์ ...
เมื่อเรายืนกรานที่จะเป็นอิสระ เขาบอกว่า เรา ‘ปีกกล้าขาแข็ง’
พอเราเถียง เขาบอกให้สงบปากคำ เพราะเรา ‘ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ และเขา ‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ในที่สุด เมื่อเราหันหลังเดินไปตามทางของตน เขาประณามว่าเรา ‘หัวแข็ง’ ‘ขบถ’ .....
พ่อนกไม่เป็นเช่นนี้! พ่อนกไม่เป็นเช่นนี้!