Skip to main content

ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย

จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย คนเลี้ยงวัวที่พาเสียงกระดึงกังวานผ่านหน้าบ้านยามย่ำค่ำของฤดูหนาวหายเข้าไปในขนัดสวนใกล้ ๆ แกกลับออกมาอีกครั้งพร้อมเห็ดตับเต่าถุงใหญ่ ค่ำคืน แมงเม่า แมงมันพากันบินมาตอมดวงไฟ แมงจอนหรือแมงกระชอนเล็บคมตัวใหญ่ก็กระโดดมากับเขาด้วย เหล่านี้เอง อาหารแผ่นดิน สายฝนปลุกโลกให้ตื่น เรียกมวลธาตุส่งพลังชีวิตให้แก่พืชพรรณ ปลุกอึ่งอ่าง กบ เขียด และสัตว์จำศีลออกมาจากใต้พิภพ ถึงเวลาเริงร่าแล้ว น้ำทิพย์จากฟ้ามีของบำรุง ต่อให้รดน้ำต้นไม้ทุกวันก็สู้ความอุดมสมบูรณ์จากสายฝนไม่ได้

ถึงราคาข้าวจะแพงขึ้น แต่ถ้าปลูกข้าวไร่ไว้กินเองก็คงพอไหว ธรรมศาสตร์กับศิลปากรไม่ได้สอนทำไร่เสียด้วยสิ แต่คงต้องลองดูแล้ว มะงุมมะงาหรา ทั้งพืชผักดอกไม้ กว่าจะเข้าใจธรรมชาติของเขา กลางฤดูร้อนได้พบน้องชายคนหนึ่ง ซึ่งเรียนรู้อยู่กับผืนดินและปราชญ์ชาวบ้าน เขาเล่าเรื่องการฟื้นตัวของผืนป่าให้เราฟัง...ถึงป่าจะถูกล้มโค่น แต่ไม่จำเป็นต้องปลูกต้นไม้ด้วยซ้ำ เพียงแต่วางใจและรอเวลา ป่าไม้ก็จะงอกงามขึ้นมาใหม่ จากโคน จากตอเก่า และเมล็ดที่ฝังตัวอยู่ในดิน นี่เอง ความลับที่เราจะได้เรียนรู้ “จงวางใจในธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมีกระบวนการวิเศษของตน โดยมนุษย์ไม่จำเป็นต้องแทรกแซง”


กลับไปรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่เมื่อช่วงสงกรานต์ เล็บมือนางที่บ้านเก่าบานสะพรั่งปีนป่ายปกคลุมตอมะม่วงผุที่น้องชายตั้งใจทำเป็นซุ้ม ก่อนหน้านั้น มันยืนนิ่งอยู่สองสามปี กระปลกกระเปลี้ย ถูกหนอนและแมลงที่หนีมาจากไร่นาอาบยาพิษกัดแทะ เจ้าเล็บมือนางที่เดินทางมาไกลเหลือเกิน พ่อแม่ของมันมาจากร้านต้นไม้ริมคลองในบางกอกครั้งที่เราอาศัยอยู่ที่นั่น นานเกินสิบปี เราย้ายนิวาสถานมาไม่รู้กี่ครั้ง บัดนี้ มันยืนหยัดแข็งแรง ต่อสู้แมลงและโรคร้าย ทำความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น ที่ตูบตีนดอย เรานำมาปลูกเช่นกัน มันยังเฉาซบ สู้ชีวิต พยายามออกดอกสองสามพวง แต่เราเชื่อว่ามันจะฟื้นตัว ออกดอกชมพูขาวสะพรั่ง กรุ่นกลิ่นหอม ละลายรั้วลวดหนามอันน่าชัง


..............


ชวนผู้อ่านของฉันมาสำราญผ่อนคลายบ้างดีกว่า มาลิ้มรสฤดูกาลกัน หน้าร้อนที่เพิ่งผันผ่าน เรามีแกงผักหวานป่าจากยอดดอย เก็บเอาแต่ยอดและก้านอ่อน ๆ ผักหวานป่าแกงกับหมูหรือปลาแห้งก็ได้ จะบอกให้ว่า ชั้นแต่แกงเปล่า ๆ ยังหวานกรอบ อร่อยกว่าก้านแข็ง ๆ ใบแก่เหนียวของผักหวานบ้านในตลาด แต่ที่คนเหนือเขาว่าวิเศษสุดยอดก็คือ แกงกับไข่มดแดง ไม่เชื่อลองอ่านแคนโต้ของคุณฐาปนา พึ่งลออ เจ้าของคอลัมน์ “ทางใบไม้” ดู


แกงผักหวานใส่ไข่มดส้ม

ปีละหน พลาดไม่ได้ !
(
เป็นบทกวีเยินยอความเลิศรสของแกงผักหวานใส่ไข่มดส้ม แม้ลึก ๆ ผู้เขียนอาจจะชอบแกงใส่ปลาทูแบบเผ็ดโลด อมเปรี้ยวอมหวาน ตำรับศรีภริยาชาวเพชรฯมากกว่าก็ตาม)


ปีกลาย หลายคนอดกินเห็ดเผาะ เพราะมีข่าวคนกินแล้วป่วยกันมาก ในป่าในพงหญ้ารกร้างมีใครทิ้งขยะประหลาด เกิดการปนเปื้อนสารเคมีในน้ำและในดิน กระทั่งเทาน้ำ สาหร่ายสีเขียวคล้ายเส้นผมที่ลอยฟ่องงอกงามในท้องนา เดี๋ยวนี้ต้องทำบ่อเลี้ยงต่างหาก กุ้งหอย ปูปลา สัตว์เล็กสัตว์น้อยและพืชผักในทุ่งที่เคยนำมาปรุงรวมกันเป็นแกงพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ ได้ชิมลิ้มรสตามฤดูกาล เชื่อมโยงจิตใจกับฟ้าดินเริ่มหดหาย ที่พอมีให้เห็นก็น่ากลัว ไม่เป็นที่ไว้ใจ

เฮ้อ! ว่าจะไม่บ่นแล้วสิน่า กลับมาพูดเรื่องสำรับสวรรค์กันต่อดีกว่า เมื่อฟ้าเบื้องบนประทานสายฝนมา หน่อไม้หน่อไร่ก็แทงยอดอ่อนๆ โผล่พ้นจากดิน จากนั้น ใครบางคนก็คว้ากระบุงตรงเข้าไปในป่า เก็บเห็ดเผาะอ่อน ๆ ลูกกลม ๆ เล็ก ๆ เนื้อข้างในเป็นสีขาวครีมออกมา แม่ครัวทั้งหลายก็พร้อมจะปรุงแกงถ้วยแรกรับฤดูกาล แกงเห็ดถอบใส่หน่อไม้ ใช้เครื่องปรุงธรรมดานี่เอง พริกแห้ง หอม กะปิ กระเทียม โขลกลงไปให้ละเอียด จุดไฟ ตั้งน้ำ ต้มกระดูกและเนื้อหมูรอไว้เหมือนเราทำน้ำซุป (หรือจะไม่ใส่หมูก็ได้) ส่วนหน่อไม้ จะเป็นหน่อไม้หวานก็ได้ หน่อไม้บงไม้ซางก็ดี ล้างให้สะอาดแล้วซอยยาวแต่อย่าให้บางมาก จะได้เคี้ยวกรอบ ๆ ใส่หน่อไม้ลงไปต้มกับหมู อาจจะนานหน่อยเพราะหน่อไม้ต้องใช้เวลา พอได้น้ำซุปหวาน ๆ แล้วก็เทน้ำพริกลงไป เมื่อเดือดได้ที่ กะว่าทุกอย่างสุกดีไม่เหม็นเครื่องแกง ก็เอาของวิเศษจากป่าที่ฟ้าประทาน -เห็ดเผาะใส่ลงไป สักครู่เดียวก็ได้สำรับชาวฟ้า “แกงเห็ดถอบใส่หน่อไม้” กินแล้วรู้สึกได้ถึงดินและฟ้า


2_07_01


แถมให้อีกหนึ่งสำรับ
“แกงเห็ดห้าใส่ใบส้มป่อย” อันนี้ก็ฟ้าประทานมาเหมือนกัน จะได้กินก็ต่อเมื่อยามฝนเท่านั้น นำเห็ดตับเต่าหรือเห็ดห้ามาล้างดินออกให้เกลี้ยง เพราะมันมักขึ้นตามหัวไร่ปลายนา ตามโคนต้นกล้วยหรือไม้ใหญ่ชื้น ๆ ร่ม ๆ (แต่ก่อนมักขึ้นใต้ต้น “ไม้ห้า” เข้าใจว่าเรียกชื่อตามนั้น) ก้านแข็ง ๆ ไม่เอานะ เอาเฉพาะดอกกับก้านอ่อน ซอยเป็นชิ้น ๆ พอคำ วางเตรียมไว้ ตำน้ำพริกคล้ายแกงเห็ดถอบแต่เพิ่มถั่วเน่าแผ่นผิงไฟหอม ๆ บิลงครกสักเสี้ยว กับปลาร้าแค่ปลายช้อน ตำให้แหลก ตั้งน้ำให้เดือด ตักน้ำพริกลงใส่ ตามด้วยเห็ดห้า รอสักพัก ชิมดู ถ้ายังไม่เข้มข้นสะใจ ให้ตักน้ำมาหน่อยหนึ่ง กวัดแกว่งสากล้างครก เทน้ำพริกที่ละลายจากครกนั้นเองลงไป พอใกล้จะสุก ให้รีบวิ่งออกไปในสวน เด็ดยอดส้มป่อย ระวังหนามด้วย ถ้าไม่มีส้มป่อยให้ละลายมะขามเปียกนิดหน่อย หรือรูดใบมะขามอ่อนที่เพิ่งแตกยอดริมรั้ว ล้างผ่านน้ำเร็ว ๆ ไม่ต้องกลัวพิษเพราะเราไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ขยุ้มใส่อย่างมั่นใจลงในหม้อ ส้มจะเพิ่มความเข้มข้นแก่น้ำแกง และให้รสชาติอมเปรี้ยวอร่อยล้ำ


เฮ้อ
!...ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคอลัมน์นี้จะมีรายการอาหารด้วย คงเพราะแอบเคร่งเครียดอยู่ลึก ๆ ข้างในจนต้องให้อาหารมาเรียกรอยยิ้ม มาให้กำลังใจกันในยามข้าวยากหมากแพง คนธรรมดาอย่างเรา เก็บผักเก็บหญ้า หาผักริมรั้วกินกันดีกว่า แต่ถ้าคุณอยู่ในเมือง ก็คงยากเหมือนกัน หรือจะทำสวนกระถาง ปลูกผักสวนครัวดี ฉันเคยมีสวนผักบุ้งบนระเบียงคอนโดฯด้วย


*
ฉันส่งงานชิ้นนี้ล่าช้าไปโข เพราะมัวแต่รอภาพเห็ดเผาะ น่าเศร้าใจที่ปีนี้เห็ดถอบออกน้อยผิดปกติ จึงขอเรียนเชิญทุกท่านจินตนาการโดยเสรี...

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง