สี(習)-จิ้น(近)-ผิง(平)ประมุขสูงสุดแห่งพรรคสังคมนิยมที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปกครองพลเมืองมากถึง1,300ล้าน ที่ก้าวสู่ตำแหน่งเช้านี้ (15 พ.ย. 2555) ณ กรุงปักกิ่ง หลายคนตั้งความหวังว่าเขาคงไม่สร้างความผิดหวัง สมดังแซ่และชื่อของเขาที่แปลว่า"เรียนรู้--ใกล้ชิด--สงบ".
ผู้นำจีนวัย 59 ผู้นี้ได้นำคณะผู้บริหารพรรคสูงสุดหรือที่เรียกกันว่า'คณะกรรมการประจำกรมการเมือง"ทั้ง 7 คนปรากฎตัวต่อหน้าสื่อทั่วโลกกว่าครึ่งพันที่มารอคอยแต่เช้าที่ห้องตะวันออกในมหาศาลาประชาชนจีน โดยเขากล่าวสุนทรพจน์แบบแสบแสบคันคัน หวนประวัติศาสตร์อันขมขื่นอันได้รับการรุกรานจากมหาอำนาจโดยไม่ระบุชื่อ มุ่งมั่นสัญญาที่จะนำพาประเทศจีนให้เข้มแข็งรุ่งเรืองต่อไป แถมด้วยคำคม'ประชาชนสร้างประวัติศาสตร์. วีรชนที่แท้จริงคือมวลชน' 'จีนต้องเรียนรู้จากนานาประเทศอีกมาก แต่ประเทศอื่นก็ควรเข้าใจจีนด้วย' ตบท้ายด้วย 'จงภูมิใจ แต่อย่าพอใจ' เพราะภารกิจของพรรคคอมมิวนิสต์หนักดั่งขุนเขา หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกล!!
สีจิ้นผิงและภรรยา เผิงลี่หยวน
ภรรยาคนที่สองของสีจิ้นผิง คือ 'เผิงลี่หยวน'(彭麗媛) นักร้องเสียงสูงและนักแสดงละครเพลงที่มีชื่อระดับสากล ครองรักกันมาถึง 25 ปี กำลังจะเป็นอาซ้อเบอร์หนึ่งหรือ 'The First Lady' ฉบับปักกิ่ง หากว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหรือเดือนมีนาคม สีจิ้นผิงดำรงตำแหน่งประธานประเทศ(แปลตามตำแหน่งของจีน เพราะประเทศสังคมนิยมแบบลาวและเวียตนามเรียกแบบนี้หมด แต่ไทยไปแปลเป็นประธานาธิบดีตามภาษาอังกฤษ ซึ่งทางจีนทักท้วงไม่ได้ผล) ต่อจากหูจิ่นเทาอย่างเป็นทางการ. ซึ่งคณะกรรมการประจำกรมการเมืองชุดที่18 คราวนี้ 'เด็กในคาถา'ของหูจิ่นเทามีเพียงเบอร์ 2 หรือว่าที่นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง(李克強) และหลิวหวินซาน (劉雲山) หัวหน้าโฆษณาชวนเชื่อของศูนย์กลางพรรคสองคนเท่านั้น นอกนั้นอีก 5 คนรวมถึงสีจิ้นผิงล้วนเป็น 'เด็กสร้าง' ของอดีตผู้นำสูงสุด 'เจียงเจ๋อหมิน' ที่ยังคงบารมีแผ่ไพศาลในพรรค
การก้าวขึ้นเป็นเป็นผู้นำในจีน ปราศจากมิได้เรื่องระบอบทางเดินการเมืองที่เรียกว่า 'สายราชทายาท' ที่ต้องฝ่าฟันเสี้ยนหนามภายในพรรคที่เต็มไปด้วย 'องค์ชาย' หรือ 'เด็กฝาก' เนื่องจากบุคคลระดับสูงในพรรค ไม่น้อยเลยที่บรรพบุรุษร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เป็นปูชนีย์บุคคลของจีนยุคใหม่ สีจิ้นผิงเช่นกัน เขาก็ 'มีเส้น' เหมือนทุกคนที่ผ่านมา
สีจ้งซวิน บิดาของสีจิ้นผิง
บิดาของสีจิ้นผิง คือ 'สีจ้งซวิน' (習仲勳)(1913.10.15-2002.5.24)อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรองประธานสภาสมัชชาประชาชนแห่งชาติ ได้รับฉายาเป็นหนึ่งในแปดรัฐบุรุษแห่งยุคสมัยที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นวิศวกรออกแบบการปฏิรูปเศรษฐกิจและนโยบายเปิดกว้างช่วงยุค 70 ภายหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่นแปดปีได้รับชัยชนะในปี1945 สีจ้งซวินได้เป็นหัวหน้าปลุกระดมชาวนารุกฮือจัดตั้งหน่วยจรยุทธต่อต้านทหารจีนคณะชาติ (ก๊กมิ่นตั๋ง กว๋อหมินตั่ง國民黨) ของเจียงไคเชค (蔣介石เจี่ยงเจี้ยสือ) เขตปลดปล่อยตะวันตกเฉียงเหนือจนสำเร็จ ประธานเหมาเจ๋อตงพอใจมากถึงกับชมว่า 'นายแน่มาก ร้ายกว่าจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) เสียอีก!")
เดือนสิงหาคม1962 ระหว่างการประชุมเต็มคณะพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 8 ครั้งที่ 10 'คังเซิง'(康生)ซึ่งเป็นบรรณาธิการ'สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง' หัวคิดซ้ายจัด ซึ่งต่อมาร่วมกับแก็งค์สี่คนเปิดฉาก'ปฎิวัติวัฒนธรรม'นั้น ได้ใส่ร้ายสีจ้งซวินเป็น'หัวหน้ากลุ่มก่อการกบฎพรรค'เรียกร้องให้สำเร็จโทษ แต่ได้รับการปกป้องจากนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในขณะนั้น ซึ่งแจ้งต่อที่ประชุมว่าไม่ควรสร้าง "ความขัดแย้งระหว่างศัตรูหรือข้า" (敵我矛盾)เพราะเขายังเป็นสหายของพวกเรา โจวเอินไหลจึงจัดการโดยให้สีจ้งซวินย้ายไปอยู่บ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงบใกล้โรงเรียนของศูนย์กลางพรรคและได้ศึกษาหาความรู้ควบคู่ไปด้วย
แต่ก็ไม่วายที่หัวปฎิรูปอย่างสีจ้งซวินต้องถูกตามล้างตามเช็ดจากฝ่ายซ้ายจัดคังเซิงและแก็งค์สี่คนที่มี 'เจียงชิง' (江青) อดีตนางเอกหนังที่เป็นภรรยาของเหมาเจ๋อตงเป็นหัวหน้า สีจ้งซวินถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองนานถึง 16 ปี ถูกปลดิอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ยังเหลือไว้ตำแหน่งสมาชิกพรรคดูต่างหน้า หลังเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม สีจ้งซวินถูกส่งตัวไปเป็นรองหัวหน้าโรงงานเหมืองแร่ที่ลั่วหยาง(洛陽)แม้ว่าเขาไกลจากกรุงปักกิ่งมาแล้ว แต่ฝ่ายคังเซิงยังคงรังควานเขา โดยส่ง 'เรดการ์ด' บุกไปโรงงานและลากตัวเขาไปยังนครซีอาน(西安)สวมหมวกภูตผีปีศาจประจานเขาตามท้องถนน ต่อมารู้ถึงหูเหมาเจ๋อตงและโจวเอินไหล จึงสั่งให้หยุดการกระทำเช่นนั้น แล้วส่งเครื่องบินไปรับตัวสีจ้งซวินกลับกรุงปักกิ่งในช่วงเทศกาลใหม่ ปี 1968 โดยอยู่ภายใต้การอารักขาของกองกำลังรักษานครหลวง
ช่วงฤดูหนาวปี 1972 'ฉีซิน' (齊心) ภรรยาสีจ้งซวินซึ่งอยู่บ้านนอก ได้ปรึกษากับลูกๆ ซึ่งตอนนั้นสีจิ้นผิงอายุเพียง 19 ปี ตกลงเขียนจดหมายถึงโจวเอินไหล ในที่สุดก็ได้พบกันพรอมหน้า แต่ตอนนั้น สีจ้งซวินเรียกชื่อลูกแบบผิดผิดถูกถูก จากนั้นทุกปีมีโอกาสมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิในปี1975 มีการยกเลิกกักบริเวณ แต่อันที่เรียกว่า 'ปัญหากบฎพรรค' นั้นยังไม่ได้ข้อสรุป เขาถูกส่งตัวไปเป็นคนงานที่ลั่วหยางอีกครั้งหนึ่ง แต่ทางพรรคจัดหอพักที่ทนความร้อนให้สีจ้งซวินและคู่ชีวิตอยู่ด้วยกันนานถึง3ปี
1976 ประธานเหมาเจ๋อตงถึงแก่อสัญญกรรม ตามด้วยการล่มสลายของแก็งค์สี่คนพร้อมกับกาลอวสานของปฎิวัติวัฒนธรรม ปัญหาการถูกกล่าวหาของสีจ้งซวินจึงได้รับการคลี่คลายตามลำดับ ต้นปี 1978 ภายหลังพรรคมีการพลิกคดีและล้างมลทินให้กับเขาอย่างหมดจด สีจ้งซวินได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมือง ต่อมาดำรงตำแหน่งเลขานุการเอกสาขามณฑลกวางตุ้งและกรรมการการเมืองคนที่สองเขตทหารกวางตุ้ง รองประธานสภาสมัชชาประชาชนแห่งชาติ ภายหลังปี1993เขาปฏิเสธรับตำแหน่งต่างๆ ภายในพรรคและรัฐ สีจ้งซวินเสียชีวิตเมื่อ 24 พฤษภาคม 2002 ในกรุงปัักกิ่งด้วยวัย 89 ปี
สีจิ้นผิงผู้นำสูงสุดคนใหม่ของจีนนั้นเป็นลูกชายคนรองของสีจ้งซวิน ตอนที่สีจิ้นผิงลืมตาดูโลกที่อำเภอฟู่ผิงมณฑลส่านซี(陝西省富平縣)เมื่อวันที่15มิถุนายน1953 บิดามีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนชื่อของศูนย์กลางพรรค ช่วงที่บิดาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง สีจิ้นผิงก็ถูกส่งไปคอมมูนในอำเภอเหยียนชวน มณฑลส่านซี(陝西省延川縣) เป็นหัวหน้าหน่วยการผลิต เดือนตุลาคม 1975 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าศึกษาในคณะวิศกรรมเคมีในมหาวิทยาชิงหัว ได้ถูกตั้งฉายาว่า 'นักศึกษากรรมกรชาวนาและทหาร"
ภายหลังจบการศึกษาในเดือนเมษายน 1979 สีจิ้นผิงถูกจัดส่งไปทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับ 'เกิ่งเปียว' (耿飆) สหายของบิดา ที่มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการทหารศูนย์กลางพรรคเวลานั้น จากนั้นทำงานเสมียนท้องถิ่นของพรรคที่อำเภอเจิ้งติ้งมณฑลเหอเป่ย (河北省正定縣)1985 สีจิ้นผิงลงใต้ทำงานในมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) นานถึง 17 ปี เป็นถึงรองผู้ว่านครเซี่ยเหมิน เลขานุการพรรคสาขาเมืองหนิงเต๋อ (寧德市)เลขานุการพรรคสาขาเมืองฝูโจว(福州市)ผู้ว่ามณฑลฝูเจี้ยน เดือนตุลาคม 2002 จากฝูเจี้ยนไปมณฑลเจ้อเจียง (浙江省) ซึ่งอยู่ติดกัน มีตำแหน่งเป็นรักษาการผู้ว่ามณฑล ซึ่งปีนั้นเขาได้ปริญญาเอกสาขาทฤษฎีลัทธิมาร์กและการศึกษาความคิดการเมืองจากมหาวิทยาลัยชิงหัว เดือนพฤศจิกายน 2002 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขานุการพรรคสาขามณฑลเจ้อเจียง มีนาคม 2007 ย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขานุการพรรคสาขามหานครเซี่ยงไฮ้ ในปีนั้นได้รับเลือกเป็นสมาชิกประจำกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์กลางพรรค และดำรงตำแหน่งรองประธานประเทศในปี 2008
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่สีจิ้นผิงโปรดปรานเป็นพิเศษ ระหว่างเยือนไอร์แลนด์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เขาได้โชว์ฝีเท้าเตะบอลให้ชมเขาแทบไม่พลาดกับการชมฟุตบอลสากลนัดสำคัญและให้กำลังใจนักฟุตบอลจีนถึงขอบสนามด้วย
พี่สาวคนโตของสีจิ้นผิงเป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในปักกิ่ง พี่สาวคนรองและสามีอพยพไปอยู่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ส่วนน้องชายอพยพไปอยู่ฮ่องกงก่อนที่เกาะฮ่องกงมอบคืนจากอังกฤษสู่การปกครองจีนในปี 1997
(สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ รายงาน)