Skip to main content

“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน
แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”

ข้อความสุดท้ายที่ ม.ร.ว.กีรติ เขียนให้นพพรก่อนเสียชีวิต
จากนวนิยายเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของ “ศรีบูรพา”

1

วันปลายฤดูใบไม้ร่วงปี 2550 , อุทยานแห่งชาติชิชิ บู ทามาไก ประเทศญี่ปุ่น
ท่ามกลางอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส แทบไร้สุ้มเสียงหรือสำเนียงใดรอบตัว สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าคือความเงียบ
ผมพบตัวเองอยู่ท่ามกลางทิวสนอายุนับพันปีที่ยืนต้นสูงเสียดฟ้า
ข้างหน้า คือทางเดินเล็กๆ ทอดยาวลับหายเข้าไปในราวป่า

20080611 sujane 1
ช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินป่าบนภูเขามิตาเกะซัง

หลายครั้งที่ได้มีโอกาสสัญจรตามรอยเท้าของบุคคลสำคัญไปยังสถานที่ต่างๆ แต่ไม่มีสถานที่ใดเลยก็ว่าได้ที่ให้ความรู้สึกรำลึกถึงคนผู้ก่อนชัดเจนมากเท่าภูเขา “มิตาเกะ” ที่ยืนอยู่ในขณะนี้

สำหรับคนญี่ปุ่น “มิตาเกะ” คือภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยทิวสนอายุพันปี เป็นปอดของกรุงโตเกียว(เทียบได้กับดอยสุเทพของเชียงใหม่) ที่ได้รับการรักษาไว้ในสภาพสมบูรณ์และพิถีพิถันอย่างยิ่งในการจัดการกับความเจริญที่รุกล้ำเข้ามา

20080611 sujane 2

แต่สำหรับผมที่จากบ้านมาไกลนับพันกิโลเมตร ที่นี่มีความหมายยิ่งไปกว่านั้น

เพราะมิตาเกะเป็นสถานที่ที่ให้แรงบันดาลใจกับ “ศรีบูรพา” หรือ “กุหลาบ สายประดิษฐ์” แต่งนวนิยายเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ประดับไว้ในบรรณพิภพ

“ศรีบูรพา” หรือ “กุหลาบ สายประดิษฐ์” คือ นักคิด นักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ของสยามซึ่งจับปากกาต่อต้านศักดินาและเผด็จการในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ไปจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕๐๐ จนองค์การยูเนสโกยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาลไปเมื่อปี ๒๕๔๘

20080611 sujane a

ข้างหลังภาพ เป็นนวนิยายที่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เด็กนักเรียนรุ่นทุนนิยมผสมอำมาตยาธิปไตยเบ่งบานสมัยนี้พอจะรู้จักอยู่บ้าง ขณะที่วรรณกรรมอันทรงคุณค่าจากปลายปากกาของกุหลาบอีกหลายเรื่องนั้นถูกเยาวชนจำนวนมากในยุคนี้ลืมไปเรียบร้อยโรงเรียนอำมาตยาธิปไตย

อาจเพราะถูกจริตกับสังคมไทยคือ เป็นนวนิยายรักหวานปานน้ำผึ้งและจบด้วยโศกนาฏกรรมสะเทือนใจระหว่างพระเอก “นพพร” กับนางเอก “คุณหญิงกีรติ” ซึ่งต่างกันทั้งวัยและฐานะรวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสัมผัสมาระหว่างการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

นพพร เติบโตมาในยุคหลังการ “อภิวัฒน์ 2475” ซึมซับรับกระแสสังคมที่เปิดกว้างทางความคิดอย่างเต็มที่ ขณะเจอคุณหญิงกีรติ เขาเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่ไปศึกษาต่อในญี่ปุ่น ที่ขณะนั้นเป็นประเทศในทวีปเอเชียประเทศเดียวซึ่งพัฒนาเทคโนโลยีและการทหารได้ก้าวหน้าเทียบเท่าชาติมหาอำนาจตะวันตก

ส่วนคุณหญิงกีรติ เป็นบุตรของขุนนาง เติบโตมาในสังคมแบบจารีตที่เชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างเคร่งครัด แม้กระทั่งเรื่องการแต่งงานเธอนั้นก็ยังไม่มีสิทธิที่จะเลือกคู่ครองของตนเอง

สุดท้ายกว่านพพรจะรู้ว่าคุณหญิงกีรติรักเขา คุณหญิงกีรติก็ป่วยใกล้เสียชีวิตแล้ว และเขากำลังจะแต่่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เหลือเพียงภาพวาดสีน้ำมันภาพหนึ่งที่คุณหญิงมอบให้เขา

ในภาพนั้นจารึกสถานที่แห่งหนึ่งที่มีรอยความทรงจำบางอย่างของทั้งสองคนเอาไว้
“ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำมัน แสดงถึงลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็กๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูง บางตอนก็ต่ำ ตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่างๆ บนต้นเล็กๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น"

“ไกลออกไปบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล และไม่แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งกับสตรีคนหนึ่ง หรือว่าเป็นบุรุษทั้งสองตน แต่ว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งนั้นแน่ บนภาพมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘ริมลำธาร’ ...ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็กๆ ว่า ‘มิตาเกะ’...”

2

71 ปี ต่อมาผมยืนอยู่ที่มิตาเกะ ได้เห็นสิ่งที่คุณกุหลาบบรรยาย นึกขอบคุณคนญี่ปุ่นที่นอกจากมีระเบียบวินัยอันยอดยิ่งแล้ว ยังมีจิตใจเป็นนักอนุรักษ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะสถานที่นี้ได้รับการักษาเอาไว้เป็นอย่างดีโดยถูกกันอยู่เขตอุทยานแห่งชาติ ชิชิ บู ทามาไก และซ่อนหมู่บ้านชนบทอันสงบงามเอาไว้ข้างในอย่างกลมกลืน

ผมไม่ทราบว่าคุณกุหลาบขึ้นภูเขามิตาเกะอย่างไร รู้แต่ในนิยาย กว่าจะถึงที่นี่ตัวเอกทั้งคู่ต้องนั่งรถไฟจากกรุงโตเกียวมาแล้วเดินเท้าขึ้นเขา ขณะที่สมัยนี้สามารถมามิตาเกะได้สะดวกทั้งรถไฟและรถยนต์ มาถึงก็นั่งรถรางชักลากด้วยสายเคเบิลแล้วต่อด้วยกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปสู่ความสูงระดับ ๔๖๖ เมตร และที่นั่นจะมีเส้นทางเดินป่าสู่ยอดสูงสุดรออยู่

ลึกลงไปในหุบเขาข้างทางเดินมีลำธารสายหนึ่งรินไหลตลอดทั้งปี ที่นั่นเองที่มี “สวนหิน” ซึ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่งคุณกุหลาบเคยใช้เป็นฉากในนิยายของเขา

20080611 sujane 3
ศาลเจ้ามูซาชิ มิตาเกะบนยอดเขา

ที่ยอดเขามีศาลเจ้ามูซาชิ มิตาเกะตั้งอยู่พร้อมตำนานของหมาป่าสองตัวที่เคยนำซามูไรหลงทางคนหนึ่งกลับบ้าน    ยังผลให้เขาซาบซึ้งบุญคุณจนมาสร้างศาลรำลึกความดีเอาไว้

เมื่อมาอยู่ที่นี่ ผมอดคิดถึงแผ่นดินเกิดไม่ได้ - - แผ่นดินเกิดซึ่งขณะนั้นตกอยู่ภายใต้ท็อปบู๊ตเผด็จการทหารที่บงการโดย “มือที่มองไม่เห็น”

“มือ” ที่ครั้งหนึ่งศรีบูรพาใช้เวลาทั้งชีวิตต่อสู้ขับเคี่ยวมาอย่างกล้าหาญร่วมกับรัฐบุรุษอีกท่านหนึ่ง ก่อนจะถูกนักหนังสือพิมพ์รุ่นหลังที่นอกจากจะไม่สืบทอดอุดมการณ์แล้ว ยังนำวรรคทองของเขามาใช้ผิดประเภทในขณะจัดชุมนุมออกบัตรเชิญการทำรัฐประหารและนำระบอบอำมาตยาธิปไตยกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

ห้าโมงเย็น…
อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงเพลิงจับอยู่ที่ขอบฟ้าฝั่งตะวันตก
ผมเดินลงจากมิตาเกะผ่านหมู่บ้านเล็กๆ น่ารักที่เดินผ่านมาเมื่อช่วงบ่าย
ช่วงหนึ่งผมสังเกตเห็นว่ามีคุณตาคุณยายคู่หนึ่งเดินจูงมือกันลงจากภูเขา มีเด็กๆ ที่เดินกลับจากโรงเรียน
นึกถึงศรีบูรพาเมื่อคราวที่เขาลงจากภูเขาแห่งนี้แล้วเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อทำหน้าที่ของเขาต่อหลังจากการดูงานหนังสือพิมพ์อาซาฮีที่ญี่ปุ่นเสร็จสิ้นลงพร้อมกับนวนิยายอมตะเรื่องหนึ่ง

20080611 sujane 4
เส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดมิตาเกะช่วงที่ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

หน้าที่ของเขาในเมืองไทยจบลงเมื่อยุคเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เริ่มต้นขึ้นในปี 2500
ศรีบูรพาตัดสินใจออกจากประเทศไทยเพื่อลี้ภัยการเมืองแล้วก็ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีก

ครั้งหนึ่ง เขาเคยเขียนไว้ว่า “ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่ง สว่างจ้าด้วยแสงตวัน ไครๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เวลาพายุกล้าฟ้าคนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปไนอากาส ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบฟ้าสว่าง ไครๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เรายืนอยู่ที่เดิม และจักหยู่ที่นั่น” *

ประโยคนี้หากลองศึกษาจะพบว่าสารที่กุหลาบต้องการส่งนั้นหมายถึงการยึดถือจรรยาบรรณของคนทำงานสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเคร่งครัด ต่อต้านการปกครองที่กดขี่ประชาชน ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย “ของประชาชน” ที่ไม่มีอำนาจนอกระบบมาลุอำนาจอยู่เบื้องหลังอย่างไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม

วันที่หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับและองค์กรภาคประชาชนและกลุ่มการเมืองหลายแห่งหลงเชิดชูอำนาจนอกระบบ
ผมคิดถึง “สุภาพบุรุษนักหนังสือพิมพ์” นาม “กุหลาบ สายประดิษฐ์” ขึ้นมาจับใจ


* คงการสะกดแบบเดิม

บล็อกของ สุเจน กรรพฤทธิ์

สุเจน กรรพฤทธิ์
“ด้วยมรดกจากยุคสมัยอาณานิคม ทำให้เราไม่สนใจเพื่อนบ้าน อันเนื่องมาจากเดิมที เวลามีเรื่องเกี่ยวกับกัมพูชา เราติดต่อกับฝรั่งเศสโดยตรง ไม่ต้องติดต่อกับกัมพูชาในกรุงพนมเปญ เช่นเดียวกับเวลามีเรื่องว่าด้วยพม่า เราติดต่อกับอังกฤษแทนที่จะติดต่อกับพม่าที่ย่างกุ้ง ฉะนั้น นี่คือสิ่งตกค้างจากสมัยอาณานิคม ซึ่งชนชั้นนำไทยก็ยังตกอยู่ในบรรยากาศนี้ ยังคงติดต่อกับประเทศตะวันตก โดยไม่สนใจเพื่อนบ้าน ดังนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน เพราะเขาอยู่ติดกับเรา” ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้ก่อตั้งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สุเจน กรรพฤทธิ์
“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉันแต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”ข้อความสุดท้ายที่ ม.ร.ว.กีรติ เขียนให้นพพรก่อนเสียชีวิต จากนวนิยายเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของ “ศรีบูรพา”1วันปลายฤดูใบไม้ร่วงปี 2550 , อุทยานแห่งชาติชิชิ บู ทามาไก ประเทศญี่ปุ่น ท่ามกลางอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส แทบไร้สุ้มเสียงหรือสำเนียงใดรอบตัว สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าคือความเงียบ ผมพบตัวเองอยู่ท่ามกลางทิวสนอายุนับพันปีที่ยืนต้นสูงเสียดฟ้า ข้างหน้า คือทางเดินเล็กๆ ทอดยาวลับหายเข้าไปในราวป่า ช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินป่าบนภูเขามิตาเกะซัง
สุเจน กรรพฤทธิ์
“See Ankor and die”อาร์โนลด์ ทอยน์บีนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ- 1 -มิถุนายน 2550 , เมืองเสียมเรียบ"บรมวิษณุโลก" หรือ "นครวัด"ที่ชั้นบนสุดของปราสาทนครวัด ผมพบว่ารูปอัปสรายามต้องแสงอาทิตย์ที่สาดมาทางทิศอัสดงคตนั้นงดงามอย่างน่าตื่นตะลึง แต่พอตัดสินใจยกกล้องดิจิตอลขึ้นบันทึกภาพ ก็จะพบว่าเลข “0” สว่างวาบอยู่บนหน้าปัด - - บอกสถานะกล้องว่าไม่สามารถบันทึกภาพได้อีกต่อไปเว้นแต่จะลบภาพเก่าที่บันทึกในช่วงตลอด 3 วันที่ผมสัญจรอยู่ในแถบภาคเหนือของภาคเหนือของกัมพูชาออกสัก 7-10 ภาพ ยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ผมก็ยอมจำนน ด้วยครั้นจะหันไปพึ่งกล้องฟิล์มติดเลนส์เอนกประสงค์ 24-120 มม. ที่เอามาด้วยก็ทำไม่ได้เสียแล้ว…