Skip to main content

ภาพดอกไม้

ทำไมนะ
คนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น
และชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขา
ราวกับว่าตัวเอง
ไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆ

ครั้งหนึ่ง
เมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชน
อยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอน
ราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้า
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซาย
ซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์
ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้น
ตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสส

ณ บัดนั้น
พวกเขาทั้งหลาย
ได้ฉุดคร่าหญิงหนึ่งที่ทำผิดฐานล่วงประเวณี
มายืนประจานตัวต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์และฝูงชน
เพื่อขอความเห็นชอบจากพระองค์ในการลงโทษหญิงนั้น
และทดลองพระองค์
เพื่อหาเหตุจับผิดฟ้องพระองค์แก่พวกปุโรหิต
ที่รวมหัวกันหมายกำจัดพระองค์
โดยอ้างธรรมบัญญัติที่เป็นความเชื่อของพวกเขา
และทูลกับพระองค์ว่า
“พระอาจารย์เจ้าข้า ผู้หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัติของโมเสสสั่งให้เอาก้อนหินขว้างให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”

พวกเขาถามอยู่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ พระองค์จึงตรัสว่า
“ผู้ใดในพวกท่านไม่เคยทำความผิด ให้ผู้นั้นเอาก้อนหินขว้างเธอก่อน”
พอพระองค์ตรัสสิ้นกระแสเสียง
พวกเขาทั้งหลายต่างพากันนิ่งเงียบ
ค่อย ๆ ทยอยเดินออกไปจากมหาวิหารทีละคน-ทีละคน
จนหมดสิ้น

แน่นอน
ฉันอยากเล่าตำนานพระคริสต์เรื่องนี้
ให้คนในยุคสมัยของเราที่ไม่เคยพบพระคริสต์ฟัง
และเตือนสติตัวของฉันเอง
ที่มักมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น
และชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขา
โดยเฉพาะกับคนที่เราเห็นว่าเขาโง่และต่ำต้อยกว่า
ราวกับว่าตัวเอง
ไม่เคยทำผิดบาปใด ๆ

ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว
คนเราทุกคนล้วนแต่เคยทำความผิดด้วยกันทุกคน
และต่างกำลังทำความผิดอีกมากมาย
ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่โต
เพราะโลกนี้…
มีสิ่งที่ยั่วยวนกิเลสตัณหามนุษย์ให้ทำความผิดบาป
มากกว่าสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง
และแท้จริงแล้ว
คนเราไม่มีใครกลัวการทำความผิดกันหรอก
แต่คนเรากลัวการถูกจับผิดและถูกลงโทษต่างหาก
จึงมิใช่เรื่องแปลก
ถ้าคนๆ หนึ่งเกิดความอยากจะ ฆ่า คนสักคนหนึ่ง
ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
โดยเชื่อว่ากติกาทางสังคม ค่านิยม ความความเชื่อ
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กฎหมาย
ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมและพระเจ้า
ไม่สามารถเอื้อมมือไปถึง
เขาย่อมลงมือทำได้ง่าย ๆ
เหมือนบี้มดตายสักตัวหนึ่ง

ดังเช่นในสงคราม
ที่พวกทหารบางพวกของประเทศฝ่ายที่ชนะสงคราม
ลงมือทำกับเชลยและประชาชนของประเทศผู้แพ้
ด้วยการฆ่าลูกเล็กเด็กแดงอย่างไร้ความปราณี
ทารุณกรรมพวกผู้ชายด้วยวิธีการโหดร้ายต่าง ๆ นา ๆ
และผลัดกันข่มขืนหญิงสาวทุกคนอย่างป่าเถื่อน
ก่อนจะลงมือฆ่าตกตามกันไปอย่างเลือดเย็น
คือจารึกอัปลักษณ์ของฆาตกรอำมหิต
ที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุม
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่มีอำนาจใด ๆ     
ห้ามคนไม่ให้ทำความผิดได้หรอก
ตราบใดที่พวกเขา
ยังสามารถยืนอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมทั้งมวล
เพราะถึงที่สุดแล้ว
แม้แต่พระคริสต์ซึ่งไม่ทรงเห็นชอบ
กับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายกับปุโรหิต
ที่มาดหมายจะฆ่าหญิงผู้มีชู้และถูกจับได้
ซึ่งการฆ่าที่พวกเขากระเหี้ยนกระหืออยากจะลงมือ
ย่อมเป็นความผิด
ยิ่งกว่าความผิดฐานมีชู้ของหญิงนั้นหลายเท่า
แต่พวกเขากลับไม่สำนึก
เพราะพวกเขาตั้งตนอยู่ในฐานะผู้จับผิด
และถือกฎการลงโทษเอาไว้ในมือ
พระองค์ก็ยังทรงหักห้ามได้แค่
“ผู้ใดในพวกท่านไม่เคยทำผิด ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเธอก่อน”
และปรามหญิงผู้เคราะห์ร้ายที่พระองค์ทรงปกป้องเอาไว้ว่า
“ต่อไปอย่าทำอีกนะ”
เช่นเดียวกับพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่พระองค์ทรงตรัสกับคริสเตียนทั้งโลกว่า
“จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”
ก็ด้วยพระประสงค์เดียวกัน
นั่นคือ-ปลุกมโนธรรมในตัวเขาให้ตื่นขึ้น

ใช่
ไม่มีอำนาจใด ๆ
ห้ามคนไม่ให้ทำความผิดได้หรอก
นอกจากมโนธรรมในตัวเขาเท่านั้น
ที่จะต้องถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
ตรึงกางเขนซาตานในตัวเขาไม่ให้ทำความผิดบาป
เพราะถ้าคนขาดมโนธรรมอยู่ในตัวคอยควบคุม
เมื่อสบช่องที่จะทำความผิด
โดยปราศจากสิ่งภายนอกคอยควบคุม
คนที่ชอบทำความผิด ย่อมจะลงมือทำ
เพราะไม่มีอะไรที่เขาต้องเกรงกลัว
เหมือนอย่างที่เราเห็นตำหูตำตากันทุกวันนี้
ตั้งแต่การฆ่า การลักขโมย การผิดประเวณี
การโกหกมดเท็จ การอกตัญญู การเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน
จนเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์และสังคมทุกชาติทุกภาษา
ทุกยุคทุกสมัย      

อา ! บางที
ณ ขณะเวลานี้
อาจจะเป็นตัวเราเองนั่นแหละ
ที่กำลังลงมือทำด้วยใจกระหยิ่ม
เพราะเหลียวซ้ายมองขวาดูแล้ว
ไม่เห็นมีใครในโลกนี้สักคน-คอยจับผิด
นอกจากเหยื่อ
อาเมน !

 

หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่เคยตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2548 ในวาระที่ฤดูกาลเลือกตั้งใกล้เข้ามา พร้อมกับพรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาโจมตีกัน เพื่อยืนยันว่าพรรคของตัวเองดีที่สุด ผู้เขียนจึงนำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาลงอีกครั้งหนึ่ง เพราะดูเข้ากับสถานการณ์ ของการตัดสินและทำลายกันและกันระหว่างนักการเมือง เผื่อใครสักคนหนึ่งจะสะดุดและได้คิดในการหาเสียงที่สร้างสรรค์ นอกเหนือจากวิธีการหาเสียงแบบน้ำเน่าที่เราเคยรับรู้มาจนเบื่อ.

25 ตุลาคม 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายอย่าสิ้นคิดสิ้นหวังให้มากนักไปเลยโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่โลกนี้ทั้งโลก...ไม่ได้มีแต่คนเลวและความชั่วร้ายอย่างที่น้องชายประณามและสิ้นหวังหรอกโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่มากมายมองดูสิเห็นไหมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในโลกถึงขั้นทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมโหฬารไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันหรือภัยที่เกิดจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ณ ซีกใดในโลกนี้เราจะเห็นคนดีและความดีของพวกเขาที่ทำให้โลกนี้...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องยาก เพราะชีวิตเป็นอย่างที่มันเป็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น อย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือที่เขาพูดกันว่าเราหว่านเมล็ดใดลงไปในท้องทุ่งถ้าหากเมล็ดนั้นมิได้เน่าเปื่อยตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งมันย่อมจะงอกงามเติบโตให้พืชผลแก่เราตามชนิดของเมล็ดพืชพันธุ์นั้นดังเช่นชาวนาหว่านเมล็ดข้าวลงไปในท้องทุ่งเขาก็ย่อมได้ต้นข้าวและเมล็ดข้าวเป็นผลของการหว่านเมล็ดลงไปในท้องทุ่งเมื่อถึงวาระแห่งการงอกงามเติบโตและแตกดอกออกผลจริงหรือที่เขาพูดกันว่าการกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา และ ใจของคนเราที่เราได้กระทำต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน โลก…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                     ลมแล้งโชย…ปลิดโปรยใบไม้แห้ง                     สีส้มแดง เหลือง น้ำตาล หวานอมเศร้า                     ร่วงหล่นลอยเคว้งคว้างมาบางเบา                     ซบลานดินเงียบเหงา……
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                   …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยิ่งชูก้านกิ่งใบไปสู่ฟ้าราวจักคว้าดวงตะวันอันสุกใสลงจากฟ้ามาเล่นเป็นโคมไฟส่องดวงใจตกอับคนคับแค้นและยิ่งสูงขึ้นไปจนไกลลิบราวจักหยิบดวงดาวพร่างพราวแสนมาเรียงร้อยสร้อยดาววับวาวแทนสร้อยใส่แขนเจ้าสาวผู้หนาวรักยิ่งต้องหยั่งรากลึกลงสู่ดินดูดดื่มกินโลกธาตุอย่างหน่วงหนักทุกเส้นสายชอนไชลงไกลนักเพื่อที่จักเติบใหญ่ให้ร่มเงาเพื่อผลิดอกออกผลจนสุกงอมเพื่อโน้มน้อมกิ่งลงดำรงเผ่าเพื่อสืบเนื่องชีวิตนี้แนบเนาเพื่อกล่อมเกลาโลกขมขื่นให้ชื่นบานเพื่อที่จักตายไปในวันหนึ่งเมื่อยามถึงกาลเวลามาเรียกขานทอดกายลงพักผ่อนนอนนิ่งนานอยู่ในกาลนิรันดร์สงบเงียบ.27 มีนาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วิถีในทางโลกและทางธรรมมันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามและสวนทางกันแทบทุกกรณี เช่น ในขณะที่ทางโลกสอนให้เรายึดมั่นถือมั่นเอาโน่นเอานี่ แต่ทางธรรมกลับสอนให้เราลดละปล่อยวางทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม เพื่อจะนำชีวิตไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากมุมมองของผม ซึ่งเป็นคนที่ยังมีกิเลสค่อนข้างหนาหนัก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ยังติดข้องอยู่ในโลก จะเดินเข้าไปสู่ทางธรรมได้ ถ้าหากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความศรัทธาและแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ดึงดูดให้เข้าไปโดยเฉพาะการเดินเข้าไปสู่ทางธรรมในฐานะนักปฏิบัติ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายน้องชายที่รักของข้าจงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลวจงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสารมันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แล้วในที่สุดก็ถึงวันนี้วันที่อดีตท่านนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินไทยเที่ยวที่ ที จี 603 ที่ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 09.40น.ของวันที่ 28 ก.พ. เพื่อกลับมาต่อสู้คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดา ที่ท่านตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ท่ามกลางความดีอกดีใจของฝ่ายที่สนับสนุนที่พากันไปต้อนรับอย่างเอิกเกริก และท่ามกลางความตึงเครียดของฝ่ายคัดค้าน ที่เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ออกมาประปรายถึงแม้การยอมรับกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในสังคมของอดีตท่านนายกฯ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก…