Skip to main content


1.

ทุกๆ ยามเช้า

ชายในชุดสันยาสี จะมาเก็บดอกไม้จากในสวนที่อยู่ใกล้ๆ มือและดวงตาของเขาส่อแววแห่งความโลภที่มีต่อดอกไม้เหล่านั้น และเขาจะเด็ดดอกไม้ทุกดอกที่เอื้อมมือถึง เห็นได้ชัดว่า เขาจะถวายดอกไม้เหล่านั้นต่อรูปปั้นไร้ชีวิต อันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาจากก้อนหิน


ดอกไม้เหล่านั้น

สวยงามน่ารัก อ่อนโยน เพิ่งจะผลิบานขึ้นรับแสงแดดยามเช้า แต่นักบวชคนนั้น หาได้เด็ดมันด้วยความอ่อนโยน เขาทึ้งดอกไม้ลงมาและกระชากเอาทุกสิ่งในสวนดอกไม้แห่งนั้น พระเจ้าของเขาต้องการดอกไม้อย่างมากมาย ต้องการสิ่งมีชีวิตเหลือคณานับ สำหรับรูปปั้นไร้ชีวิตทำจากก้อนหิน


อีกวันต่อมา

ฉันเฝ้าดูเด็กๆบางคนเก็บดอกไม้ เด็กเหล่านั้นจะไม่เอาดอกไม้เหล่านั้นไปถวายพระเจ้า พวกเขาคุยกัน และทึ้งดอกไม้เหล่านั้นโดยไม่ไตร่ตรอง จากนั้นก็ขว้างทิ้งไป เธอเคยสังเกตตัวเองทำเช่นนี้หรือเปล่า


ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น

ขณะที่เธอเดินไปตามทาง เธอจะหักกิ่งไม้ เด็ดใบไม้แล้วทิ้งมันไป เธอเคยสังเกตการณ์กระทำอันไร้ความคิดของตนเองเช่นนี้หรือไม่ ผู้ใหญ่ก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาจะมีการแสดงออกถึงความป่าเถื่อนโหดร้ายข้างใน และความไม่เคารพอันน่าสะพรึงกลัวต่อสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย – ในแบบของพวกเขาเอง ผู้ใหญ่มักพูดถึงการไม่ทำร้าย แต่กระนั้นก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ล้วนมีอันตรายทั้งสิ้น


เราเข้าใจได้

ถึงการที่เธอเด็ดดอกไม้มาเสียบแซมผม หรือยื่นมันให้ใครสักคนด้วยความรัก แต่ทำไมเธอจึงฉีกทึ้งดอกไม้เหล่านั้นเล่า พวกผู้ใหญ่มีความน่าเกลียด เพราะเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน

พวกเขาประหัตประหารชีวิตกันในสงคราม

รวมทั้งทำลายกันและกันให้ตกต่ำลงด้วยอำนาจเงิน

ผู้ใหญ่มีรูปแบบการกระทำอันน่ารังเกียจ และเห็นชัดแจ้งว่าคนหนุ่มสาวที่นี่และที่อื่น ก็กำลังเจริญรอยตามการกระทำของพวกผู้ใหญ่เหล่านี้


2.

เมื่อวันก่อน

ฉันออกไปเดินเล่นกับเด็กชายคนหนึ่ง เราได้เจอก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่บนทางเดิน เมื่อฉันหยิบก้อนหินนั้นออกไป เขาก็ถามว่า

ทำไมท่านจึงทำอย่างนั้นล่ะ?”

นั่นบ่งชี้ถึงอะไรเล่า ไม่ใช่เรื่องขาดการเอาใจใส่และขาดการเคารพนอบน้อมล่ะหรือ


พวกเธอแสดงออกถึงการเคารพ

เนื่องจากเพราะความกลัว ใช่หรือไม่ เธอมักจะลุกขึ้นยืนทันที เมื่อผู้ใหญ่เดินเข้ามาในห้อง แต่นั่นไม่ใช่ความเคารพนอบน้อม นั่นเป็นความกลัว เพราะถ้าหากเธอรู้สึกเคารพนอบน้อมจริงๆ

เธอไม่น่าจะทำลายดอกไม้

เธอน่าจะหยิบก้อนหินออกจากทางเดิน

หรือเธอน่าจะดูแลช่วยเอาใจใส่ต้นไม้ในสวน

แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้เยาว์ พวกเรามักจะไม่มีความรู้สึกเคารพนับถืออย่างแท้จริง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ มิใช่เป็นเพราะว่า เราไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไรดอกหรือ


3.

เธอเข้าใจไหม ว่าความรักเป็นสิ่งที่เรียบง่าย

ไม่ใช่สิ่งซับซ้อนยุ่งเหยิงเยี่ยงความรักเชิงกามารมณ์ หรือความรักในพระเจ้า แต่เป็นความรักเฉยๆ อ่อนโยนและสุภาพอย่างแท้จริงในการเข้าไปสัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่บ้านเธอก็มักจะไม่ได้รับความรักเรียบง่ายเช่นนี้เสมอไป เพราะพ่อแม่ของเธอยุ่งและวุ่นวายเกินไป อาจจะไม่มีความรักความอ่อนโยน – อย่างแท้จริงที่บ้านเลย


ดังนั้น

พวกเธอจึงมาที่นี่ พร้อมกับภูมิหลังของการเฉยชารับรู้ และเธอก็ประพฤติเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และเราจะทำให้เกิดความรับรู้ที่ว่องไวได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่า ต้องมีกฎระเบียบห้ามไม่ให้เธอเด็ดดอกไม้ เพราะว่าเมื่อเธอเพียงสะกดกลั้นตัวเองจากกฎระเบียบก็จะมีความกลัว แต่ความรู้สึกรับรู้ได้อย่างว่องไวนี้ ซึ่งทำให้เธอตื่นตัว ที่จะไม่ทำอันตรายต่อผู้คน ต่อสัตว์ และต้นไม้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ


พวกเธอสนใจเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า

เธอควรจะสนใจ ถ้าหากเธอไม่สนใจที่จะแววไวต่อการรับรู้ เธอก็น่าจะเหมือนกับคนตาย และคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีอาหารกินวันละสามมื้อในแต่ละวัน มีงานทำ มีลูกมีเต้า นั่งอยู่บนรถส่วนตัว หรือสวมใส่เสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่อย่างดีที่สูด ก็เป็นเพียงแค่บุคคลที่ตายแล้วเท่านั้น


เธอรู้หรือเปล่า

ว่าสภาพที่รับรู้ได้อย่างว่องไวนั้นหมายถึงอะไร

แน่นอน

มันหมายถึงว่ามีความรู้สึกที่อ่อนโยนนุ่มนวลต่อสิ่งต่างๆ

เช่น

เห็นสัตว์ได้รับความเจ็บปวดมีความทุกข์

แล้วทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปในเรื่องนี้

หรือหยิบเอาก้อนหินออกจากทางเดิน

เพราะมีเท้าอันเปล่าเปลือยมากมายเหยียบย่ำไปบนทางสายนั้น

หรือหยิบเอาตะปูออกมาจากถนน

เพราะว่ามันอาจจะแทงยางรถยนต์ของใครสักคนหนึ่ง

การรับรู้อย่างว่องไวนั้น หมายถึงความรู้สึกที่มีต่อผู้คน ต่อนก ต่อดอกไม้ ต่อต้นไม้ นี่ ไม่ใช่เป็นเพราะว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของเธอ แต่เพียงเพราะเธอตื่นตัวต่อความงดงามมหัศจรรย์ของสิ่งเหล่านั้น และสภาพการรับรู้เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร


4.

ขณะใดที่เธอรับรู้ได้อย่างว่องไวลึกซึ้ง

เธอจะไม่เด็ดดอกไม้ได้เองโดยธรรมชาติ จะมีความปรารถนาโดยฉับพลัน ในอันที่จะไม่ทำลายสิ่งต่างๆ ไม่ทำลายผู้คน ซึ่งก็หมายถึงการมีความเคารพนับถือ หรือความรักที่แท้จริงนั่นเอง

การที่จะรักนั้น - เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

แต่ที่ว่ารักนั้น หมายถึงอะไรล่ะ

เมื่อเธอรักใครสักคนหนึ่ง เพราะว่าเขาคนนั้นมีความรักต่อเธอ

นั่นไม่ใช่ความรัก

การที่จะรักคือการมีความรู้สึกรักเป็นพิเศษ

โดยไม่มีการเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการตอบแทน

เธออาจจะเฉลียวฉลาดสอบได้ทุกครั้ง มีปริญญาเอก และมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่หากเธอไม่มีความรู้สึกรับรู้ได้อย่างว่องไวเช่นนี้ ดวงใจของเธอจะว่างเปล่า และเธอจะทุกข์ทนหม่นไหม้ไปจนชั่วชีวิต


ดังนั้น

จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ดวงใจจะเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกแห่งรัก เพราะหลังจากนั้น เธอจะไม่ทำลาย ไม่หยาบคายอำมหิต และจะไม่มีสงครามอีกต่อไป นับจากนั้น เธอจะเป็นมนุษย์ที่มีความสุข และเพราะเหตุที่เธอมีความสุข เธอจะไม่สวดวิงวอน เธอจะไม่แสวงหาพระเจ้า เพราะความสุขอันนั้นเองคือพระเจ้า


5.

เอาละ

แล้วความรักเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรักจะต้องเริ่มต้นจากครู เริ่มต้นจากนักการศึกษาอย่างแน่นอน นอกจากให้ข่าวสารความรู้แก่เธอในวิชาคณิตศาสตร์ภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์แล้ว

ถ้าครูคนนั้นมีความรู้สึกแห่งความรักในหัวใจของเขา

และพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้าครูคนนั้นหยิบเอาก้อนหินออกจากทางเดิน

หรือไม่ยอมให้คนรับใช้ทำแต่งานสกปรก

ถ้าหากในการพูดของครูคนนั้นในการงาน ในการพักผ่อนของเขา เมื่อเขารับประทานอาหาร เมื่อเขาอยู่กับเธอ หรืออยู่กับตัวเขาเองโดยลำพัง เขารู้สึกอยู่ในสภาวะอันแปลกประหลาดนี้ และชี้ให้เธอเห็นอยู่บ่อยๆ เธอก็จะรู้ว่าความรักคืออะไรได้เหมือนกัน


6.

เธออาจจะมีผิวพรรณอันหมดจด มีใบหน้าอันสวยงาม เธออาจสวมส่าหรีน่ารัก หรือเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไร้ซึ่งความรักในหัวใจของเธอแล้ว เธอก็คือมนุษย์ที่น่าเกลียด น่าเกลียดยิ่งกว่าจะบอกว่าน่าเกลียดอย่างไร

แต่เมื่อเธอมีความรัก

ไม่ว่าใบหน้าของเธอจะธรรมดาสามัญหรืองดงาม

ใบหน้านั้นก็จะมีประกายรุ่งเรือง

การที่จะรักได้นั้น – เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

และนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะพูดเกี่ยวกับความรัก

ที่จะรู้สึกในความรัก

ที่จะทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมันไว้

ให้คุณค่ามัน

มิฉะนั้นแล้วมันจะเหือดหายมลายไป

เพราะโลกนี้มีแต่ความโหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง


7.

ถ้าหากขณะที่เธอยังอยู่ในวัยเยาว์ แล้วเธอไม่รู้สึกรัก ถ้าหากเธอไม่มองดูผู้คน มองดูสัตว์ มองดูดอกไม้ด้วยความรักแล้ว เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอก็จะพบว่าชีวิตกลวงเปล่า เธอจะโดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง และเงาดำของความกลัวจะติดตามเธอไปตลอดกาล

แต่ขณะใดที่เธอ

มีสิ่งพิเศษสุดที่เรียกว่าความรักอยู่ในหัวใจ

และสัมผัสได้ถึงความลึก

ความปีติและความปลาบปลื้มของความรักนี้

เธอก็จะค้นพบว่าสำหรับเธอนั้น

โลกถูกทำให้เปลี่ยนไปแล้ว.


หมายเหตุ : จากบางบทในหนังสือรวมงานชื่อ “ ความรัก ” ของกฤษณะมูรติ แปลโดย พยับแดด จัดพิมพ์โดย ห้องสมุดกฤษณะมูรติ ร่วมกับ สำนักพิมพ์ถ้ำแก่นจันทร์ 40 /1 . ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี 71150 ตีพิมพ์ครั้งแรก 1 กุมภาพันธ์ 2535


งานแปลของกฤษณะมูรติ ชิ้นนี้ เป็นงานที่ผมได้อ่านแล้วอยากให้คนหลายๆคนได้อ่าน โดยเฉพาะท่านที่สนใจในเรื่องของความรัก และอยากรู้จักว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร มีความสำคัญต่อชีวิตมากน้อยเพียงใด และจะรู้จักมันได้อย่างไร

ครับ ผมขออนุญาต พยับแดด ผู้แปล นำงานชิ้นนี้ที่เดิมชื่อว่า “ความเรียบง่ายของความรัก” มาลง ณ ที่นี้ เพื่อเป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่ปี 2552 แด่ ผู้อ่านทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาเยี่ยม กระท่อมทุ่งเสี้ยว ในเว็บประชาไท


และขออนุญาตใช้ชื่อใหม่จากประโยคหนึ่งในเรื่องนี้ แทนชื่อเก่า เพราะผมชอบประโยคนี้มาก (การที่จะรักนั้น – เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต) เพราะดูจูงใจชวนให้ติดตามอ่านเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้ง การจัดวรรคตอนใหม่ ให้อ่านง่าย น่าสนใจ ตามลำดับหมายเลข ผมต้องขออภัย พยับแดด ในการถือวิสาสะในส่วนนี้ด้วยครับ เพราะผมอยากให้คนเข้ามาอ่านงานสร้างสรรค์ ที่เต็มไปด้วยคุณค่าและดีเยี่ยมชิ้นนี้มากๆ สวัสดีปีใหม่ครับ.


สันยาสี : นักบวชเร่ร่อน หรืออนาคาริก ที่มีอยู่แห่งเดียวในประเทศอินเดีย


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…