Skip to main content


ฉันจะร้องเพลงเศร้าในคืนนี้

ถึงไม่มีคนฟังก็ร้องได้

เพราะเป็นความต้องการของหัวใจ

ในที่สุดยามต้องอยู่กับชีวิต


เพียงโดดเดี่ยวเดียวดายภายในโลก

กับใจโศกชาชืดมืดสนิท

ไม่มีดาวสักดวงในความคิด

ไม่มีมิตรมิ่งขวัญร่วมฝันเศร้า

 

กับกีตาร์ตัวหนึ่งซึ่งมีอยู่

ณ ซอกมุมหดหู่และหงอยเหงา

ก็พอแล้วสำหรับคนอย่างเรา

จะจับเจ่าใจเปลี่ยวอยู่เดียวดาย

 

ร้องเพลงเศร้าคร่ำครวญกับกีตาร์

กับใจว้าเหว่อาดูรสูญสลาย

โอ้ เพลงเศร้าเจ้าช่างมีอยู่มากมาย

ในสุดท้ายยามต้องอยู่เพียงผู้เดียว.

 

หมายเหตุ ; บทกวีบทนี้ เป็นบทกวีชิ้นหนึ่งในร่วมเล่มหนังสือรวมบทกวีของผมที่ชื่อว่า "เหมือนดั่งดอกหญ้า"

ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัล ประเภทกวีนิพนธ์ในการประกวดหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2529 เป็นงานที่เขียนถึงสภาวะทางอารมณ์และความรู้สึก ที่ว้าเหว่และเหงาเศร้าของคนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ที่คนเรามักจะต้องเผชิญกับมันอยู่เสมอ แม้ในท่ามกลางฝูงชน เราก็มีสิทธิ์ที่จะเหงาอย่างจับจิตได้ ถ้าหากเรารู้สึกแปลกแยกและไม่เป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่เราพลัดหลงเข้าไป ซึ่งความเหงาในกรณีนี้ ดุเหมือนทางสังคมวิทยาเขาจะเรียกกันว่า "ความเหงาท่ามกลางฝูงชน" เนื่องจากขาดความสัมพันธ์กับผู้คนนั่นเอง ผมค่อนข้างชอบงานชิ้นนี้ของตัวเอง ทั้งภาษาเขียนที่เรียบง่าย ( อ่านแล้วไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย - ฮา ) และเนื้อหาที่เป็นเรื่องสากลของมนุษย์ ที่ดำรงอยู่ทุกยุคสมัย จึงขอนำงานชิ้นนี้มาโชว์ความเหงาเศร้าที่งดงามที่นี่อีกครั้งหนึ่งครับ.

 

กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…