Skip to main content

วันที่ฉันได้รับจดหมายจากแดน 3
ฉันกำลังมีความสุขกับงานขึ้นบ้านใหม่ บ้านที่ฉันกู้เงินสหกรณ์ตำรวจ และขายวัวทั้งฝูงที่เลี้ยงเอาไว้ นำเงินมาสร้างให้แม่แก้ว แม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตฉัน โดยยอมทิ้งความอยากได้รถยนต์เก๋ง วีออสสีดำ ป้ายแดง ที่ฝันจะขับตะรอนทัวร์ ออกไปช่วยเหลือผู้คนตามต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล แต่เอาเข้าจริงๆความฝันกับความเป็นจริง มักเดินสวนทางกันเสมอ...

หน้าบ้านของแม่ กล้วยไม้ป่ากำลังออกดอกสะพรั่ง กาสะลองที่ฉันหอบหิ้วมาจากเชียงใหม่ กำลังส่งกลิ่นหอมจรุง เหลือง ชมพู และขาวของลีลาวดี รายรอบบ้าน กำลังอวดกลีบดอกอันประณีต แข่งกับดอกสีเหลืองสดสว่างของดาวเรือง ที่แม่นำพันธุ์มาจากเชียงราย

สิบสองปันนา ที่เพื่อนรักของฉัน ซื้อมาฝาก...ราคาเกือบสองพันบาท กำลังเอนลู่พลิกพลิ้ว ไปตามแรงโบกโบยของลมฝน ...

ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปดูท้องฟ้า ท่ามกลางสายฝนพรำๆ ในวันที่ฟ้าหม่นสลัวและซึมเศร้า...

ย่างเข้าสามปีแล้วซินะ
ที่ฉันได้รู้จักกับสุทัศน์ จันทร์ศรี ชายผู้พิการทางสายตา ทุกครั้งที่ฉันได้รับจดหมายจากเขา ฉันจะใช้เวลาอ่านมันอย่างน้อยสิบกว่าเที่ยว อ่านเพื่อมองทะลุเข้าไปให้ถึงก้นบึ้งหัวใจของเขา และกำแพงของเรือนจำบางขวางที่คุมขังเขาเอาไว้...  

เกิดคำถามกับตัวเองมากมายว่า เขาตาบอด แล้วทำไมเขาจึงฆ่าคนตาย ฉันไม่เคยนึกกลัวเลยที่สุทัศน์จะมาหลอกเอาเงินฉัน... จากการขอเรียนหนังสืออักษรเบลล์ในเรือนจำ - กับเงินที่ขอมา...

สี่ครั้งแล้ว
ที่ฉันเดินทางไปเยี่ยมสุทัศน์ที่บางขวาง ครั้งแรกไปไม่รู้วันเวลา จึงไปเสียเที่ยว แต่จดหมายของสุทัศน์สิ... ที่ร่ำๆทำให้ฉันนอนไม่หลับ ไปครั้งที่สอง เราได้พูดคุยกันเพียงแค่ทางโทรศัพท์ เหมือนในหนัง...ที่คุณเห็นอย่างไรก็อย่างนั้น ครั้งที่สาม ฉันนำข้าวของไปฝากไว้ - ที่รับฝากของหน้าเรือนจำ

และครั้งล่าสุด ฉันได้เดินทางไปเยี่ยมสุทัศน์ กับคุณอุบลรัตน์ รูบิชุน ที่เดินทางมาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เข้าไปกอดสัมผัสให้กำลังใจ ถึงในแดน 3 เรือนจำบางขวาง ในวันเยี่ยมญาติ...

จากนั้นมา
 คราวใดที่ฉันเดินทางกลับบ้านเกิด ฉันมักจะชอบมานั่งอ่าน จดหมายของสุทัศน์และเพื่อนๆของเขาจากแดน 3 ที่โต๊ะระเบียงหน้า อ่านแล้วฉันต้องร้องไห้ ในสิ่งที่ฉันได้รับรู้จากเขา... 

ทำไมหนอ...โลกของสุทัศน์ที่เป็นอยู่ จึงเป็นโลกที่โหดร้ายอย่างแหลือเชื่อ มีคนเปรียบเปรยชีวิตคนเรา เหมือนรูปทรงเรขาคณิตสี่เหลี่ยมคางหมู ที่ด้านบนใหญ่ด้านล่างเล็ก หรือไม่ก็ด้านบนเล็กด้านล่างใหญ่ แล้วชีวิตของสุทัศน์และเพื่อนๆ  ควรจะเป็นรูปทรงใดหนอ...

ฉันไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา  แต่ฉันบอกแก่ใจตนเองเสมอว่า  ตราบใดที่ดินยังไม่กลบหน้า  คำสัญญา...ที่ฉันให้ไว้กับสุทัศน์ ในวันที่พบเขา ในวันเยี่ยมญาติที่แดน 3 บางขวาง กับคำขอร้องให้ฉันช่วยเป็นเจ้าภาพบวชให้ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินที่สุทัศน์ได้เลือกเอาไว้  ฉันจะทำให้เขา...ทันทีที่ถึงวันที่เขาได้รับอิสรภาพ ออกมาจากรั้วกำแพงเรือนจำบางขวาง...

สุทัศน์ จันทร์ศรี
เป็นชาวจังหวัดลำปาง อาศัยอยู่กับยายมาตั้งแต่เกิด ตาได้เสียชีวิตตั้งแต่สุทัศน์ยังเล็กๆจำความอะไรไม่ได้    ยายมีแม่ของสุทัศน์คนเดียว ฐานะของยายยากจน มีอาชีพทำนาและปลูกผักขายในตลาด ยายได้ส่งแม่ของสุทัศน์เรียนเสริมสวยในตัวจังหวัด หลังจากเรียนจบเรียบร้อย แม่ได้เปิดร้านเสริมสวยกับเพื่อนของแม่...

ต่อมา
แม่ได้พบรักกับพ่อของสุทัศน์ในงานแห่สลุงหลวง ( สลุง  ภาษาถิ่นล้านนา หมายถึงภาชนะที่เรียกว่าขัน ในภาษากลาง นั่นเอง ) ยายเล่าให้ฟังว่า พ่อของสุทัศน์เป็นชาวสวีเดน เป็นวิศวกรคุมงานก่อสร้างทาง สายเชียงใหม่ - ลำปาง หลังจากแม่ได้อยู่กินกับพ่อได้หกเดือน แม่ก็ตั้งครรภ์สุทัศน์ ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มยินดีของยายและผู้เป็นพ่อเป็นยิ่งนัก...

จากนั้นมา ยังไม่ทันครบกำหนดเวลาคลอดสุทัศน์ พ่อก็ถูกเรียกตัวกลับสวีเดน แม่ขอติดตามไปด้วย แต่พ่อเกรงว่า จะเป็นการลำบากกระทบกระเทือนถึงลูกในท้อง พ่อจึงขอให้แม่คลอดสุทัศน์ก่อน แล้วจะเดินทางมารับ แม่จึงพาลโกรธลูกในท้อง เพราะคิดว่า ลูกคนนี้...สร้างปัญหาให้แม่ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เกิดออกจากท้องแม่ !

พ่อเดินทางกลับสวีเดน โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ แม่ที่ตั้งท้อง...จึงได้แต่เฝ้านั่งนับวันรอคอย ...

ระหว่างที่ชีวิตยังเป็นปัญหา
แม่ได้เดินทางไปทำบุญที่วัดบ้านป่า และดูดวงกับแม่ชีท่านหนึ่ง แม่ชีบอกว่าต่อไปภายภาคหน้า ลูกที่เกิดมาจะพิการและจะมีชีวิตอยู่ในคุกในตะราง จึงขอให้แม่เลี้ยงลูกให้ดี...

แม่นึกโกรธลูกอยู่แล้ว ที่เป็นสาเหตุ ทำให้แม่เดินทางไปสวีเดนกับพ่อไม่ได้ ยิ่งแม่ชี...มาทำนายดวงชะตาของลูกร้ายๆอย่างนี้ แม่จึงเกิดความชิงชังลูกในท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง และคิดทำลายเลือดก้อนนี้ของตัวเอง ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินยาขับ...

แต่มารหัวขนที่แม่ไม่ต้องการ ก็ยังดื้อรั้นเกิดออกมาจนได้  ท้องได้เพียงแค่เจ็ดเดือนเท่านั้นเอง ตัวเล็กและพิการทางสายตามาตั้งแต่กำเนิด แม่ได้เห็น...ยิ่งแสดงความรังเกียจ ไม่รู้ว่าแม่เขียนจดหมายไปเล่าอะไรให้พ่อฟัง พ่อจึงได้พาลเกลียดลูกคนนี้ไปด้วย...

คงมีแต่ยายเท่านั้น ที่ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงดูสุทัศน์มา นับตั้งแต่วันที่แม่คลอดสุทัศน์ทิ้งไว้ให้ยายเลี้ยงดู และเดินทางติดตามไปอยู่สวีเดนกับพ่อ และเขียนจดหมายมาบอกยาย หลังจากหายเงียบไปนานหลายปีว่า"...หนูส่งเงินมาให้แม่ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว แม่ไม่ต้องไปซื้ออะไรให้มันกิน ไอ้เด็กอัปรีย์จัญไรนี่... มันจะทำให้ชีวิตของแม่ย่อยยับ หนูไม่รับมันเป็นลูกของหนู แม่จะเอาไปทิ้งหรือฆ่าที่ไหน หนูก็ไม่เสียดายหรอก ตอนนี้หนูมีลูกสาวและลูกชายกับโทมัสแล้ว หนูจะอยู่ที่สวีเดนนี่แหละ..."

มันช่างอยุติธรรมสิ้นดี !
ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ในท้อง ผมก็ไม่เป็นที่ต้องการของพ่อกับแม่เสียแล้ว ห้าปีแล้ว ที่ผมไม่เคยได้เจอผู้เป็นพ่อและแม่ วันที่พ่อกับแม่เดินทางมาเยี่ยมยาย ยายกับผมรอพ่อกับแม่ อยู่ที่ครัวไฟในบ้าน พอพ่อกับแม่มาถึง ยายก็ให้ผมเข้าไปกราบท่านทั้งสอง ทันทีที่ผมเข้าไปกราบ คำแรกในชีวิต ที่ผมได้ยินจากปากของแม่คือ
"มึงยังไม่ตายอีกหรือไอ้เด็กอัปรีย์ ! ออกไป ไป๊...ชีวิตกูไม่เคยมีลูกอย่างมึง..."

ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก เท่านั้นยังไม่พอ แม่ยังกระชากใช้ไม้นำทางของผม กระหน่ำตีผม ราวกับโกรธแค้นผมมานานนับร้อยปี แม่ไม่ฟังผมเลย ยายมาห้ามแม่ก็ตะคอกยาย ยายไม่อยากขัดใจแม่จึงปล่อยไปตามเรื่องตามราว...

ต่อมา  เวลาพ่อกับแม่และน้อง เดินทางมาเมืองไทย ผมเลยรู้สึกเฉยๆ เมื่อพ่อแม่ไม่รักก็ขอให้ยายรักและเอ็นดูก็พอ...ยายมักสอนผมอยู่เสมอว่า

"...ชีวิตเราเป็นของพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ให้ชีวิตเรา ถ้าหากเขาจะฆ่าเราจริงๆ เราก็ไม่ควรไปอาฆาตพยาบาทท่าน การโกรธเกลียดพ่อแม่จะทำให้เป็นลูกทรพี มันเป็นบาปเป็นกรรมกับเรานะลูก ตายไปลูกจะตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด..."

ผมใช้ชีวิตอยู่กับยายจนอายุได้เจ็ดขวบ
ยายจึงตัดสินใจบวชชีอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง มีหน้าที่ คอยเตรียมถวายภัตราหารแก่พระเณรในวัด ทั้งหลวงพ่อ พระเณร และแม่ชี ต่างก็เมตตาสงสารผมที่เจียมตัวไม่ดื้อไม่ซน  ส่วนแม่นั้น ทุกครั้ง เวลาแม่เขียนจดหมายส่งเงินมาให้ยายใช้ แม่ไม่เคยเอ่ยถึงผมอีกเลย พ่อกับแม่มาเยี่ยมยายทีไร ผมต้องคอยหลบหน้าท่านทุกที เพราะกลัวจะไปทำให้ท่านทั้งสองรำคาญใจ....

วันหนึ่งปลายปี 2529
ทางวัดที่ผมอาศัยอยู่กับยาย ได้จัดงานต้อนรับกฐินจากกรุงเทพ กลางวันชาวบ้านก็เตรียมสำรับกับข้าวไว้ต้อนรับ กลางคืนก็มีมหรสพฉลอง พอเสร็จพิธี ขณะยายกำลังจะพาผมกลับไปยังกุฏิที่ซุกหัวนอน หลวงพ่อก็บอกว่าให้ยายพาผมเข้าไปพบหลวงพ่อที่กุฏิของท่าน และบอกว่า

"...มีโยมเศรษฐีใจบุญจากกรุงเทพฯท่านหนึ่ง ได้เห็นสุทัศน์แล้วถูกชะตา ท่านเป็นเจ้าของแผงล็อตเตอรี่ และเป็นหัวหน้าวงดนตรีคนพิการ  ท่านอยากได้ไปอุปถัมภ์เลี้ยงดูส่งเสียให้เล่าเรียนหนังสือ ให้เขาไปก็ดีนะ โอกาสดีๆอย่างนี้หาได้ยาก แม่ชีคิดว่า จะอยู่กับหลานไปได้ตลอดชีวิตหรือ อย่างน้อย...ถ้าหากสิ้นบุญแม่ชีไปแล้ว สุทัศน์ก็ยังจะหาเลี้ยงตัวเองได้ พ่อแม่เขาก็ไม่เอาแล้วมิใช่หรือ... คิดดูให้ดีนะแม่ชี  คนเรามันต่างกรรมต่างวาระกัน ถ้าหากแม่ชีไม่ยอมให้หลาน...จากไปในวันนี้ หลานจะเข้มแข็งต่อสู้ชีวิต ในภายภาคหน้าได้อย่างไร..."

เมื่อยายพาผมไปพบท่าน ที่กุฏิของหลวงพ่อ ท่านได้พูดแต่สิ่งดีๆในการเดินทางไปอยู่เมืองหลวงกับท่าน และเกลี้ยกล่อมยาย จนยายใจอ่อน ยอมยกผมให้แก่ท่าน

โดยที่ผมไม่สามารถล่วงรู้ ชะตาชีวิตของได้เลยตัวเอง ว่าการเดินทางออกมา...จากอ้อนแขนของยายในวันนั้น จะทำให้ผมไม่มีโอกาส...ได้พบปะหน้าค่าตาของยายอีกจนชั่วชีวิต !

หมายเหตุ ; ช่วงนี้ ผมกำลังอยู่ระหว่างทำหน้าที่เป็นบก. Edit งานเขียนของคุณจินตวีร์ เกียงมี หรือที่รู้จักกันทั่วไปในปัจจุบัน จากรายการที.วี. "คนค้นคน" อันโด่งดังของที.วี.บูรพา ในนาม จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี นายดาบตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้ตะลอนทัวร์ ไปช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ เพื่อรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือ พ็อคเก็ตบุ๊ค สักเล่มหนึ่ง

เรื่องที่ผมนำมาลงนี้ เป็น เคส หนึ่งของคน ที่เขาเคยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันมาอย่างยาวนาน

และเขาได้เขียนบันทึกเรื่องนี้เอาไว้นิตยสาร แรงบุญแรงกรรม คอลัมน์ ศาลาแรงบุญ ที่เขาเปิดเป็นสื่อกลาง รับฟังคำร้องทุกข์ของผู้คน และเชิญชวนผู้มีเมตตาจิต เข้ามาร่วมมือร่วมใจกัน ให้ความช่วยเหลือ

น่าเสียดาย...ที่เพิ่งได้ข่าวว่า นิตยสารฉบับนี้ ซึ่งยืนหยัดมาหลายปี ได้ปิดตัวเองลงเสียแล้ว เพราะภาวะทางเศรษฐกิจอันย่ำแย่ในปัจจุบัน ตอนนี้ เขากำลังเมียงมองหาพื้นที่สื่อสาร เพื่องานสาธารณะชน ที่น่าชื่นชมยกย่องของเขา - ในหนังสือเล่มใหม่อยู่...

ผมนำเรื่องนี้ของเขามาลงซ้ำที่นี่ เพราะคิดว่า เป็นเรื่องราวจากมุมหนึ่งของสังคม ที่สะท้อนให้เห็นความชั่วร้าย ที่น่าสนใจมากๆของมนุษย์ ที่หากินบนความโง่เขลา อ่อนแอ และขาดโอกาสทางสังคมของผู้พิการ และมีที่มาที่ไปที่น่าศึกษา จึงนำมาลงที่นี่...เพื่อยังประโยชน์ประการใดประการหนึ่งแก่ท่านผู้อ่าน ที่ยังไม่ค่อยรู้จักความชั่ว  ก่อนจะรวมเล่มอีกครั้งหนึ่ง.

30 มีนาคม 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…