Skip to main content

1

- สวัสดีครับ
- สวัสดีค่ะ

- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ
- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ

- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ
- โอ๋ ดีจังเลย

- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ
- ถูกต้องค่ะ

- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ
- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ

- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม
- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ

- แล้วคุณจะไม่แนะนำตัวให้ผมรู้จักบ้างสักนิดหนึ่งหรือครับ
- ดิฉันหรือคะ ดิฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ชีวิตมา...เท่าที่คนคนหนึ่งที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะได้ประสบและเรียนรู้ แต่ขณะนี้...ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป

- อะไรนะครับ ! กรุณาพูดใหม่ให้ผมได้ยินชัด ๆ อีกสักครั้งหนึ่งจะได้ไหม
- ค่ะ ดิฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ชีวิตมา...เท่าที่คนคนหนึ่งที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะได้ประสบและเรียนรู้ แต่ขณะนี้...ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป

- โอ้โฮ ! ดูเหมือนคุณจะทำสคริปเตรียมท่องบทนี้มาโดยไม่ตกหล่นเลยนะครับ  แต่เอ...ผมว่าคุณน่าจะโทร.เข้ามาหาคนผิดเสียแล้ว เรื่องเศร้าสุด ๆ แบบนี้...คุณน่าจะโทร.ไปหาจิตแพทย์โทร.ไปหาพระ หรือไม่ก็โทร.ไปหาศูนย์ฮอทไลท์ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขามีคนเก่ง ๆ แทบทุกสาขาวิชาเกี่ยวกับคนที่อยากจะตาย คอยบริการปลอบโยนและให้กำลังใจเอาไว้อย่างดีเลยนะ
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ ผมคิดว่าคุณคิดผิดมาก ๆ ที่โทรเข้ามาหาคนอย่างผม เพราะนอกจากผมจะสรรหาคำปลอบโยนเพื่อให้กำลังใจ และหาเหตุผลดี ๆ ในการมีชีวิตอยู่ เพื่อให้คุณลุกขึ้นมาต่อสู้ชีวิตใหม่ไม่ได้แล้ว บางที...คนอย่างผมอาจจะเป็นตัวเร่งทำให้คุณลงมือกับตัวเอง ก่อนจะถึงเวลาอันควรด้วยซ้ำ
- ( หัวเราะ ) แล้วยังไงอีกคะ
- อ๋อ...พอคุณรีบลงมือทำกับตัวเองด้วยวิธีการใด ๆ ก็แล้วแต่ คุณอาจจะเสียใจที่พบว่าตัวเองคิดผิด...ในเวลาที่สายเกินแก้ไปเสียแล้ว ความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ ถ้าเจอของจริงเข้ากับตัวเอง เพราะไม่รู้จักวิธีการลงมือที่เฉียบขาดแบบมืออาชีพ
- คุณเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อนหรือคะ

- เปล่า ! ผมเพียงแค่เคยเห็นคนที่เป็นกันแบบนี้มาก่อนเท่านั้นเอง บางคนเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างน่าสมเพช ก่อนจะค่อย ๆ จากไปอย่างทุลักทุเล บางคนกลายเป็นคนไม่สมประกอบไปตลอดชีวิต และไม่เคยคิดถึงมันอีกเลย มันเป็นเรื่องที่ไม่สง่างามเลยนะครับ ถ้าหากมือไม่ถึง...
- อย่างนั้นหรือคะ

-ใช่ ผมว่าทางที่ดีคุณรีบวางหู แล้วโทร.ไปหาคนที่เขาทำหน้าที่นี้โดยตรง จะดูดีกว่า...มาเสี่ยงกับคนอย่างผม
- ( หัวเราะ ) คุณประเมินความเป็นคนของดิฉันผิดและต่ำไปค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนปัญญาอ่อนที่คิดและตัดสินอะไรแล้ว ยังต้องวิ่งไปหาคนโน้นคนนี้มาสนับสนุนหรือคัดค้านตัวเอง ว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร

- อ้าว ! ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองมีสติปัญญาสูงส่งและฉลาดเลิศล้ำถึงเพียงนี้ คุณก็ไม่น่าจะเสียเวลาโทร.เข้ามาหาผมหรือโทร.ไปหาใครในเมื่อการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ  ไม่ต้องการจะพึ่งพาความคิดของใคร
- อ๋อ...แน่นอนค่ะ คนอย่างดิฉัน...นอกจากไม่ต้องการจะพึ่งพาความคิดของใครในโลกนี้แล้ว ดิฉันยังไม่ต้องการให้ใครมาคิดหาเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของดิฉัน แทนตัวดิฉันด้วย

2

- อ๋อ...อย่างนั้นหรือครับ ผมพอจะเข้าใจอะไรแล้วหละ
- เข้าใจอย่างไรคะ

- เพราะคุณกลัวว่าการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ จะถูกไอ้พวกนักคิดสารเลวที่ชอบยื่นหัวไปคิดโน่นคิดนี่แทนคนอื่นเขา แล้วก็เที่ยวไปสรุปป่าวประกาศชีวิตของคนอื่นเขา ตามความเข้าใจของตัวเองที่คิดเอาเองว่า...มันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำให้การเลือกตัดสินชีวิตของคุณกลายเป็นโศกนาฎกรรมราคาถูกในภายหลังใช่ไหม คุณจึงรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องบอกเหตุผลในการเลือกของคุณแก่ใครสักคนหนึ่ง เพื่อความตายของคุณจะได้แลดูหมดจดงดงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณจึงโทร.เข้ามาหาผมว่างั้นเถอะ
- แล้วคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่ควรกระทำดอกหรือ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเพราะการมีชีวิตอยู่...เรายังมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะลบล้างความเท็จที่คนอื่นเสกสรรปั้นแต่งสร้างวาทกรรมที่ไม่เป็นจริงให้แก่ตัวเรา ซึ่งเป็นความเลวร้ายที่น่ารังเกียจที่สุดที่คนเรามักกระทำต่อกัน แต่กับความตาย...เราไม่มีโอกาสแม้เพียงสักครั้งเดียว

- ( น้ำเสียงอ่อนลง ) คนในโลกนี้...มีอยู่มากมายตั้งหลายล้านคน ทำไมคุณไม่โทร.ไปหา ทำไมคุณดูเหมือนจะจงใจเลือกโทร.เข้ามาหาผมโดยเฉพาะ
- เพราะว่าคุณเป็นกวียังไงล่ะคะ

- แล้วกวีมันเกี่ยวอะไร กับการที่คุณจะบอกเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ
- เพราะพวกกวี น่าจะเป็นคนประเภทเดียวในโลกนี้ ที่สามารถยอมรับเหตุผลของชีวิตที่คนธรรมดาสามัญยอมรับกันไม่ได้

- คุณรู้ได้อย่างไร
- รู้ได้จากการวิเคราะห์แนวคิดในหนังสือบทกวีของคุณยังไงล่ะคะ ดิฉันจึงมั่นใจว่าดิฉันคิดถูก ที่เลือกและตัดสินใจโทร.เข้ามาหาคุณ

- โอ้ ขอบคุณ...ขอบคุณมาก ๆ ที่ให้เกียรติแก่กวีผู้ต่ำต้อยอย่างผม ไหนคุณลองบอกผมมาซิ...อะไรคือเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ
- คนที่ตระหนักถึงความจริงของชีวิตด้วยตัวเองอย่างแน่ชัด ว่าแท้จริงแล้วชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ไร้สาระและน่าเบื่อ จนไม่มีความเชื่อใด ๆ แม้แต่หลักธรรมคำสอนทางศาสนาที่ดีที่สุด ก็ไม่อาจทำให้เขาเชื่อและศรัทธาได้ มันควรจะเป็นเหตุผลของชีวิตที่เพียงพออย่างยิ่งมิใช่หรือ

- นี่...คือเหตุผลที่ดีที่สุดของคุณว่างั้นเถอะ
- แล้วกวีที่ชอบเยาะเย้ยมนุษย์อย่างคุณ เคยพบเหตุผลของชีวิตจากคนที่เขาไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ ที่ดี ยิ่งกว่านี้หรือเปล่าคะ

- อือ...เอาล่ะเอาล่ะ ผมยอมรับว่าผมยังไม่เคยพบ และต้องยอมรับว่า...นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดและสูงส่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของคุณหรือของใครก็ตามที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้ตระหนักอย่างแน่ชัดด้วยตัวเองว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระและน่าเบื่อจริง ๆ
- ขอบคุณค่ะ ที่คุณมองเห็นและเข้าใจ

- ครับ ผมเข้าใจ เพราะผมเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าคุณ หรืออาจจะมากกว่าคุณด้วยซ้ำ
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ แต่วิธีการคิดและเลือกจัดการกับชีวิตของตัวเองระหว่างคุณกับผม จากการตระหนักแน่ชัดในเรื่องนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- แตกต่างกันอย่างไรคะ ในเมื่อเราต่างมองเห็นชีวิตไปในทิศทางเดียวกัน

- แตกต่างกันที่ความเป็นคนของคุณและผม
- ความเป็นคนของคุณเป็นอย่างไรคะ

-ความเป็นคนของผมนะหรือ ( หัวเราะ ) คนอย่างผมนะ ไม่ใช่คนที่สิ้นหวังหมดหวังในชีวิต หรือมองเห็นความไร้สาระในชีวิตอย่างคุณ... แล้วคิดจะฆ่าตัวเอง ผมเป็นคนประเภทคิดแต่จะฆ่าคนอื่น...
- โอ พระเจ้า ! คุณเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้เลย ทำไมคุณเป็นคนน่ากลัวอย่างนี้ล่ะคะ

- พระเจ้าคงส่งให้ผมมาเกิดเป็นคนแบบนี้ เพื่อเป้าหมายอันสูงส่งอะไรสักอย่างกระมั้ง
- คุณจึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

- คุณมีเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกที่จะตาย คนอย่างผมก็มีเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกันนี่นา !
- อยู่เพื่อฆ่าใครสักคนหนึ่งอย่างนั้นหรือคะ

- ( หัวเราะ ) ไม่ใช่เพียงแค่คนหนึ่ง สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่ม มีคนที่ผมคิดจะฆ่ามากกว่าสิบคน แต่จนป่านนี้...ผมก็ยังไม่ได้ลงมือฆ่าใครสักคน  แม้แต่คนที่ทำให้ผมเจ็บแค้นมากที่สุด และคิดอยากจะฆ่าเขาจนใจจะขาด
- เพราะอะไรคะ

- เพราะหลายต่อหลายครั้ง เมื่อผมตัดสินใจลงมือจะเชือดคอเขาให้สาแก่ใจ ผมก็มักจะมีพลังอะไรบางอย่าง คอยฉุดดึงผมเอาไว้ทุกครั้งจนผมนึกแปลกใจ
- พลังอะไรบางอย่างนั้นคืออะไร

-  ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่มันคอยฉุดดึงผมให้สะดุดอยู่เรื่อย  เวลามีเหตุทำให้ผมเกิดความอยากจะ ฆ่า ใครสักคน ผมจึงค่อย ๆ หันหน้าไปมองดูมันอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วผมก็ค่อย ๆ พบว่าภายในตัวตนของผม นอกจากพลังของความเกลียดมนุษย์... ที่ทำให้ผมอยากจะฆ่าคนแล้ว ผมพบว่าผมยังมีพลังของความรักในศิลปะ ที่ทำให้ผมอยากจะเขียนหนังสือซับซ้อนอยู่ภายในตัวตนของผม พลังของความรักนี่แหละที่คอยยับยั้งผมเอาไว้...
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ วันหนึ่งผมจึงเริ่มต้นลงมือเขียนหนังสือ และยิ่งผมลงมือเขียนหนังสือ ซึ่งเป็นงานที่ทำให้ผมค้นพบว่า ...มันเป็นงานที่ยากยิ่งกว่าการพยายามฆ่าคนตายมากมายหลายเท่า แต่ผมกลับชอบและนึกสนุกกับการท้าทายต่อความยากของมัน ผมจึงค่อย ๆ พบว่าพลังแห่งความเกลียดมนุษย์ของผมค่อย ๆ อ่อนล้าและเจือจางลง เหมือนเราเทน้ำที่ใสสะอาดลงไปในบ่อน้ำที่ขุ่นมัวและสกปรก ยิ่งเราเทน้ำใสลงไปในบ่อมากเท่าไหร่ น้ำในบ่อที่ขุ่นมัวและสกปรกก็ยิ่งแลดูสะอาดมากขึ้นเท่านั้น
- คุณก็เลยกลายเป็นกวีแทนที่ควรจะเป็นฆาตกร

- แล้วคุณคิดว่าผมควรจะเป็นอะไร ผมเขียนบทกวีผมก็ต้องเป็นกวี หรือคุณอยากจะเห็นผมเป็นฆาตกร เพราะคุณอยากจะเป็นเหยื่อของผม
- ( หัวเราะ ) เสียใจด้วยค่ะ คนอย่างดิฉันนอกจากตัวเองแล้ว ดิฉันยังไม่เคยคิดอยากจะตกเป็นเหยื่อของใคร และยังไม่เคยมีใครที่แข็งแรงพอที่จะทำให้คนอย่างดิฉันยอมตกเป็นเหยื่อได้ ดิฉันเพียงแต่คิดว่าคนที่เป็นกวีไม่น่าจะมีวิญญาณของฆาตกรเจือปนแอบแฝงอยู่แค่นั้นเอง

- ( หัวเราะ ) คนที่ไม่มีวิญญาณของฆาตกรอยู่ในตัวเอง เป็นกวีไม่ได้หรอกครับ
- ทำไมคนดี ๆ จึงเป็นกวีไม่ได้ล่ะคะ

- เพราะการเขียนบทกวี คือการขุดลึกลงไปเอาส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของมนุษย์ออกมาเปลือยเปล่าต่อสายตาของโลก คนที่เป็นกวีทุกคนจึงจำเป็นต้องมีวิญญาณของฆาตกรคอยฆ่าความกลัวของตัวเอง ที่จะนำส่วนลึกที่สุดในหัวใจของตัวเองออกมาเปลือยเปล่า คนที่ไม่มีวิญญาณของฆาตกรเจือปนแอบแฝงอยู่จึงไม่มีวันที่จะเป็นกวีได้ เพราะราคาของกวีนั้น...จะต้องซื้อด้วยการทำงานหนักและด้วยความกล้าหาญของฆาตกรเพียงประการเดียวเท่านั้น
- ค่ะ ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณเป็นกวีอย่างแท้จริง

- แน่นอน และนี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกมีชีวิตอยู่กับชีวิตที่ไร้สาระและน่าเบื่อของผม
- ขอบคุณค่ะ ที่เปิดเผยตัวเองให้ดิฉันได้รู้จักอย่างลึกซึ้ง ส่วนตัวดิฉัน ดิฉันคิดว่าดิฉันได้สื่อสาร สิ่งที่ดิฉันต้องการจะสื่อสารแก่คนที่ดิฉันต้องการจะสื่อสาร จนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ณ นาทีของชีวิตที่น่าเบื่อนี้ ดิฉันคิดว่า ...ถึงเวลาแล้วใช่มั้ยคะ ที่เราจะต้องยุติความสัมพันธ์กันเพียงแค่นี้

- อา ! เวลาสำหรับเรามาถึงที่สุดแล้วหรือนี่ !
- ค่ะ แล้วคุณไม่ต้องกลัวด้วยนะคะว่าตัวของคุณจะเกิดความรู้สึกผิดในภายหลัง เพราะคิดว่าตัวเองมีส่วนเร่งเร้าหรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินชีวิตของดิฉัน เพราะดิฉันไม่รู้สึกสั่นคลอนอะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ เมื่อได้สัมผัสกับความคิดและตัวตนของคุณ ที่ต่างกันกับดิฉันเหมือนกลางวันและกลางคืน เหมือนสีขาวกับสีดำ

- ครับ ผมเข้าใจ ชีวิตคนเรามันต้องเป็นเช่นนี้ซินะ ชีวิตใครก็คือชีวิตของคนนั้น ไม่มีใครไปกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงใครได้ง่าย ๆ  เพราะถึงที่สุดของชีวิตแล้ว คนเราก็ต้องเลือกและตัดสินใจด้วยตัวของเราเอง เพราะมันคือชีวิตของเรา ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมรู้แก่ใจดี ว่าอะไรคือเหตุผลที่ดีที่สุดของตัวเองในการที่จะเลือกและตัดสินใจอะไรสักอย่าง...
- นี่...คือบทเทศนาก่อนลาจากหรือเปล่าคะ

- โอ ไม่...ไม่เลย ผมเพียงแค่อยากจะบอกคุณว่า  เมื่อคุณมั่นใจว่าความไร้สาระของชีวิตคือเหตุผลที่เพียงพอและดีที่สุดในการเลือกที่จะตายของคุณ ใครเลยจะหักห้ามความปรารถนาของคุณได้...ถ้าคุณต้องการจะตายจริง ๆ  ไปเถิด..ถ้าคุณอยากตายก็จงตาย .แล้วผมจะบอกให้โลกที่มีแต่คนชอบทำเรื่องของคนอื่นให้คนเข้าใจผิด ได้รับรู้อย่างถูกต้องว่า วันหนึ่ง มีผู้หญิงที่น่ารักและงดงามคนหนึ่ง มาฝากฝังความจริงที่แท้จริงในการตัดสินชีวิตของเธอเอาไว้ที่นี่ ก่อนจะออกเดินทางไกล...
- ขอบคุณค่ะ สวัสดี และลาก่อนนะคะ

- ครับ สวัสดี.

************

*** หมายเหตุผู้เขียน นี่เป็นเรื่องสั้นที่ผมส่งไปทักทายการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของหนังสือช่อการะเกด ที่บรรณาธิการโดยสุชาติ สวัสดิ์ศรี เรื่องสั้นเรื่องนี้ของผมเป็นหนึ่งในสามร้อยกว่าเรื่องที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ที่คัดเลือกได้เพียง 12 เรื่อง และได้รับการคอมเมนท์ กลับมาว่า “เรื่องสั้นของคุณยังไม่ได้ใจผม อยากให้ลองใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องรีบร้อน...”

ผมจึงนำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาลงที่นี่ เพราะถึงแม้ความงามของผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้ใจพี่สุชาติ แต่สำหรับผม ผู้หญิงคนนี้ใช่เลย ผมจึงไม่อาจทิ้งขว้างเธอได้ เพราผมชอบของผมแบบนี้ ผมจึงนำเธอมาปรากฏตัวที่นี่.   

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…