Skip to main content

12 เมษายน 2545


วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...

\\/--break--\>
บ่ายโมงวันนี้ พ่อกับแม่ผู้พัน มาแจ้งความร้องทุกข์ว่า เราไปบุกรุกบ้านเขา เออแน่ะลูกของตัวเอง...เอาเงินเราไปยังไม่พอ ยังจะมาทำให้เราเป็นผู้ต้องหา บุกรุกทำร้ายร่างกายลูกของตัวเองอีก... เอาเข้าไป

 

แล้วในที่สุด

เขาก็ไม่ได้เงินทั้งสองก้อนนี้คืนจริงๆ เพราะต่อมาอีกไม่นานนัก ท่านนายพันโท...ได้ขับรถเก๋งส่วนตัวพาลูกเมียไปประสบอุบัติเหตุ ลูกสาวคนเดียวแคล้วคลาดปลอดภัย...แทบไม่มีแม้แต่รอยเล็บแมวข่วน ส่วนท่านนายพันกับคุณนายภรรยา ร่างแหลกราญไม่มีชิ้นดี...ตายคาที่เกิดเหตุ...


ผมเปิดไปพบเรื่องราว ที่เป็นจุดจบของท่านนายพันโทและภรรยา ในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง - ในแฟ้มงานเรื่องสั้นของเขา ที่พยามเขียนเรื่องสั้นเอาไว้นับสิบกว่าเรื่อง ทีแรกผมเข้าใจว่า เขาคงจะปรุงแต่งมันขึ้นมา...เพื่อระบายความเจ็บช้ำ ที่กลายเป็นเจ็บความแค้น ที่ท่านนายพันโท...และครอบครัวทำกับเขา และเขาไม่สามารถทำอะไรไม่ได้ ภายหลังโทร.ไปถามเขา เขาบอกว่าเป็นความจริง!

 

10

 

ช่วงนี้ของชีวิต

นอกจากท่านนายพันโท...นายทหารเจ้านายเก่าและภรรยา ที่เป็นเสมือนขวากหนามของชีวิต ที่ทำความเจ็บช้ำน้ำให้เขาแล้ว ยังมีเรื่องท่านพระครูระดับเจ้าคณะฯ ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งจากจังหวัดใกล้เคียงกับ เพชรบูรณ์ บ้านเกิดของเขา ที่หยิบยื่นเงินมาช่วยเหลือเขาเป็นจำนวนมาก ( พอๆกับคุณวรรณและคุณแข - คนไทยจากต่างประเทศ ) ที่ทำให้ชีวิตเขายุ่งยากจนเกือบเอาตัวไม่รอด และงุนงงเจ็บปวดอีกมิใช่น้อย เพราะมันเป็นการหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ ที่หวังสิ่งแลกเปลี่ยนตอบกันภายหลัง ดังที่เขาได้บันทึกเอาไว้ว่า

 

6 มีนาคม 2543


เดินทางจากจังหวัดลพบุรีไปที่จังหวัด...ตามที่อยู่ของท่านพระครู...ที่ท่านโอนเงินก้อนใหญ่มาช่วยเหลือ ตั้งใจไว้มากๆ ว่าจะลงไปกราบเท้าท่านที่วัด...


ขอบคุณโลกเส็งเคร็งใบนี้ ที่ทำให้ตำรวจอย่างฉันยืนทึ่มทื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเวลาตั้งแต่ตีสามจนเกือบถึงห้าโมงเช้า ภายในวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ ฉันจะไปบอกใครดี ว่าน้ำเงินที่ท่านพระครูหยิบยื่นให้มา ต้องมีการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด...


ให้ตายสิ...วันนั้น ถ้าฉันหยิบเงินหมื่นของท่านพระครูมาด้วย ฉันคงเอาเงินฟาดใส่หน้าท่านพระครูไปแล้ว เฮอะ...ถ้าหากกูเลือกเกิดได้ กูคงไม่ต้องดิ้นรนลางาน...มารนหาที่อย่างนี้หรอกว่ะ


ขอบคุณห้องน้ำที่หลบภัยในวัด ขอบคุณความตัณหาหน้ามืดของมนุษย์ ที่ไม่เข้าไม่ออกใคร และไม่ละเว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าในวัดในวา ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่มองเห็น เด็กๆผู้ชายทั้งนั้นเลย ที่มาอาศัยวัดท่านพระครูอยู่ ไม่รู้ว่าเด็กๆที่น่าสงสารพวกนี้ ได้ตกเป็นเหยื่อตัณหาราคะของท่านพระครูไปกี่คนแล้ว...

 

และเรื่องนี้ได้ปรากฏรายละเอียดที่น่าสนใจ อยู่ในเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่ง - ในแฟ้มงานเรื่องสั้นของเขา ผมขอตัดต่อมาให้อ่าน...พอจินตนาการมองเห็นภาพได้ชัดเจนดังนี้

 

...ตีสามของวันใหม่ ฉันเงอะงะหิ้วกระเป๋าลงจากรถไฟ เพราะไม่คุ้นกับสถานที่เอาเสียเลย ก่อนรถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาในสถานี ฉันได้โทร.ล่วงหน้าไปบอกท่านพระครู...ที่ฉันเรียกว่าหลวงพี่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจ ที่มีคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี นำรถมาจอดรออยู่แล้ว


ทันทีที่ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ตรงทางเข้าวัด ที่ท่านออกมายืนตะคุ่มๆรออยู่ในคืนเดือนมืด ฉันรีบเดินเข้าไปคุกเข่าลงกราบเท้าท่าน ท่านยื่นมือมากุมมือฉันพลางก้มลงจูบหัวฉัน ราวกับจะเรียกขวัญให้... และจูงมือฉันเดินไปยังกุฏิค่อนข้างใหญ่โตหรูหรา จนฉันอดนึกแปลกใจไม่ได้ ก่อนจะเปิดประตูเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปภายใน และบอกฉันว่า ท่านได้ให้เด็กเข้ามาทำความสะอาด เพื่อเตรียมต้อนรับฉัน ตั้งแต่เย็นวานแล้ว...


ฉันวางกระเป๋าเดินทางลงกับพื้นห้อง ที่ปูด้วยพรมหนานุ่ม แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าจอที.วี.ที่ท่านเปิดทิ้งไว้ ท่านบอกให้ฉันทำตัวตามสบาย เดินทางมาเหนื่อยๆ ก็นอนพักบนเตียงหลวงพี่นี่แหละนะ ท่านพูดพลางพยายามฉุดไม้ฉุดมือฉันให้ลุกจากเก้าอี้ ไปที่เตียงนอนของท่าน...


ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่ากลัวบาป ไม่กล้าอาจเอื้อมนอนบนที่นอนของพระของเจ้า ท่านบอกว่าไม่เป็นไร เพราะอนุญาตแล้ว ไม่เป็นบาปกรรมอะไรหรอก แล้วท่านก็เข้ามานั่งเบียดฉันบนเก้าอี้ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ต้นคอฉัน ด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางไกล ฉันจึงจำใจลุกขึ้นไปนอนแผ่บนเตียงนอนของหลวงพี่


ฉันนอนหลับตาลงไม่สนิท... ความศรัทธามากมายของฉันที่มีต่อหลวงพี่ ที่มีน้ำใจหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ฉัน และยิ่งศรัทธามากยิ่งขึ้น เมื่อท่านบอกเล่ามาทางโทรศัพท์ ก่อนที่ฉันจะเดินทางมาที่นี่ - ให้ฉันได้รับรู้และชื่นชมอีกว่า ท่านมิใช่เป็นเพียงแค่พระ...ที่สักแต่ว่าได้ชื่อเป็นพระเท่านั้น แต่ยังเป็นพระที่รับเด็กๆ ที่พ่อแม่ยากจนและด้อยโอกาส มาอุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้การศึกษามานานแล้ว มีหลายคน...ที่ท่านเคยส่งเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานได้ดิบได้ดี มีหน้ามีตาในสังคม ได้ลดฮวบฮวบลง จากตัวฉันจนหมดสิ้น..


ฉันแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าของท่าน เดินห่างออกไปที่ประตูหน้าห้อง นึกอุ่นใจขึ้นมาว่า ตัวเองคงจะได้พักผ่อนนอนหลับสนิท แต่กลับปรากฏว่า ท่านเดินไปล็อคประตูและลงกลอนดังแกร็ก แล้วค่อยๆ เดินย้อนกลับมาหยุดยืนที่เตียงนอน และค่อยๆ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูฉัน ด้วยน้ำเสียงและลมหายใจหอบถี่ของอารมณ์ ที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายว่า...

เป็นของหลวงพี่เถิดนะ หลวงพี่ขอ...”

พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปมาตรงเป้ากางเกงของฉัน ฉันรีบสลัดตัวลุกขึ้นพูดกับท่านในทันทีทันใดว่า

ห้องน้ำอยู่ไหน ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”

อยู่ตรงนั้นแน่ะ”


ท่านบอก พลางชี้มือไปทางฝาผนังห้องด้านหนึ่งในกุฏิ ฉันรีบผลุนผลันลงจากเตียง เดินตรงรี่เข้าไปในห้องน้ำ และรีบล็อคประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ท่านเดินตามมาอ้อนวอนเซ้าซี้ขอเข้ามาในห้องน้ำด้วย แต่ฉันไม่สนใจ...


เสียงไก่ขันดังแว่วมาจากหมู่บ้าน คงเป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว ฉันนั่งหลับๆตื่นๆขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ ด้วยจิตใจที่ตึงเครียดและกดดัน ได้ยินเสียงท่านบ่น ที่ฉันไม่ยอมเปิดประตูให้อยู่พักใหญ่...จึงได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านเดินออกไปเปิดประตูกุฏิ สักพักหนึ่ง จึงได้ยินเสียงของโยมผู้หญิงพูดคุยกับท่านที่หน้ากุฏิ


กะเวลาพอสว่างเต็มที่แล้ว ฉันจึงรีบล้างหน้าล้างตาอย่างลวกๆ เสร็จแล้ว จึงรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาคว้ากระเป๋าเดินทาง เดินออกมาจากกุฏิ พบโยมผู้หญิงสองสามคนกำลังนั่งพับเพียบพนมมือแต้สนทนากับท่าน ด้วยท่าทีที่เคารพและยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง ฉันเดินก้มหน้างุดผ่านหน้าท่านออกมาโดยไม่ยอมหันไปมอง และกล่าวคำร่ำลาใดๆ...”

 

23 มีนาคม 2543


ส่งเงินคืนท่านพระครู...ที่จังหวัด...จำนวนสองหมื่นบาทถ้วน เป็นเงินของพี่วรรณจากฮ่องกง จบเกมกันเสียที แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่ง ท่านได้หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ผม ถึงแม้จะเป็นความช่วยเหลือที่เคลือบด้วยยาพิษก็ตามที...

 

13 พฤษภาคม 2543


แม่วนัสนันท์โทร.มาหา ลูกไม่น่าจะเล่าเรื่องที่เลวร้ายนี้ให้แม่ฟังเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว แต่ถ้าเราเป็นอะไรไป ใครล่ะจะรู้เรื่องราวที่มันเกิดขึ้น ลูกยอมรับนะครับแม่ ว่าลูกเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำตาย ใครยื่นอะไรมาให้ลูกก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน...

 

 

11

 

ช่วงที่ผมเขียนและเรียบเรียงตัดต่อ

บันทึกสีกากี” ของเขามาถึงตรงนี้ซึ่งเป็นตอนจบ ก่อนจะถึงบทสรุป มีคนช่วยอ่านต้นฉบับมาท้วงติงผมว่า ฉากชีวิตตอนนี้ของเขา ผมน่าจะละเว้นและตัดออกไปทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัณหาราคะ ที่ได้อ่านและรับรู้แล้ว น่าจะทำให้ภาพรวมที่งดงามของเรื่องนี้ มีรอยตำหนิและด้อยคุณค่าลง เหมือนหมึกดำหยดหนึ่งที่หยดลงไปบนผ้าขาว โดยเฉพาะรายละเอียดของเรื่องนี้ในเรื่องสั้น...ที่ผมตัดต่อมาลง ราวกับจงใจจะเน้นเสียจริงๆ


ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรู้จักและเข้าใจความชั่วอย่างลึกซึ้งพอสมควร เพราะเกิดและเติบโตมาจากครอบครัวที่มีพ่อเป็นนายบ่อนการพนัน เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน และมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกบ้านที่แวดล้อมด้วยซ่องโสเภณี นักเลงการพนัน นักเลงหัวไม้ คนติดยา คนลักเล็กขโมยน้อย นักต้มตุ๋น มือปืน นักจี้ นักปล้น ตำรวจบ้านนอก ที่ชอบวางอำนาจข่มขู่ชาวบ้านแบบตาสีตาสา ตำรวจมือวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจจอมรีดไถ ตำรวจรับใช้เจ้าพ่อ ฯลฯ


สารพัดความชั่วในอดีตที่ผมเกิดมาและได้พบ จนเกือบจะแยกความดีและความชั่วไม่ออก เพราะลืมตาเกิดขึ้นมาดูโลก ผมก็พบแต่คนที่มีชีวิตชั่วๆแวดล้อม และที่มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย...อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความดุร้ายนี้ได้ คงเป็นเพราะว่า...ผมรู้จักและเข้าใจความชั่ว และรู้เท่าทันมันนั่นเอง...

 

ผมจึงยิ้มๆบอกกับคนที่มาท้วงติงว่า

ตัดออกไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีที่สุดใดๆในโลกนี้ เพราะฉากนี้เป็นฉากที่สำคัญที่สุดในชีวิตของจ่าจินต์ ที่สำคัญพอๆกับฉากชีวิตในตอนที่เขาได้พบคุณวนัสนันท์ ผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมอันล้ำเลิศ ที่นำมือแห่งความเมตตาจากคุณวรรณ - คุณแข และใครต่อใครอีกมากมายหลายคน มาฉุดเขาขึ้นมาจากขุมนรกหมกไหม้แห่งหนี้สิน... เพราะผมมองเห็นด้านตรงกันข้ามที่เป็นคุณประโยชน์...ที่เขาได้รับจากมัน


โดยเฉพาะฉากชีวิตฉากนี้ของเขา นอกจากจะสะท้อนให้เห็นความชั่วร้ายในองค์กรของสถาบันทางศาสนา ที่เราถือกันว่า - เป็นสถาบันแห่งความดีงามอันสูงสุดของสังคม ที่มิอาจวางใจได้แล้ว มันยังพิสูจน์ให้เห็นความเป็นคนของเขา ที่มีค่าต่อการรับรู้แก่สังคม และการรู้จักธาตุแท้ของตัวเขาเองด้วย ว่าเป็นทองแท้หรือทองปลอม...


ซึ่งเขาก็ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว ด้วยการคืนเงินทั้งหมดไปให้ท่านพระครู ( รวมทั้งข้าวของมีค่าราคาแพงอีกหลายอย่าง ที่เขาได้รับทางพัสดุไปรษณีย์ และส่งคืนติดตามไปในภายหลังจนหมดสิ้น )


ผมจึงไม่สามารถตัดฉากที่ผมมองเห็นความสำคัญนี้ออกไปได้ พูดให้เข้าใจกันง่ายๆในเชิงเปรียบเทียบก็คือ ถ้าเขาเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉากนี้ก็คือฉากที่เขาถูกทดสอบตบะธรรมจากมารร้าย ซึ่งย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญ และมีคุณค่าความหมายแก่ชีวิตของเขาเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ!

 

ซึ่งต่อมา

มันก็ได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตอันดียิ่งของเขา ในช่วงที่เขาขายวัว 40 ตัว และกู้เงินเพิ่มอีกก้อนหนึ่ง เพื่อหวังจะนำเงินมาปลูกบ้านให้แม่ แล้วใจอ่อนเอาเงินครึ่งหนึ่งของเงินก้อนทั้งหมด...ไปให้คนที่รู้จักกัน - ที่เขาหลงไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วมาหลอกขอยืมเงินเขา โดยอ้างว่าจะนำไปหมุนก่อน เมื่อถึงเวลาที่เขาจำเป็นต้องใช้ จะรีบนำมาส่งคืนโดยเร็ว แล้วเชิดเงินทั้งหมดหายลับเข้าไปในกลีบเมฆ


และต่อมาในปี 2549 เขาก็ถูกกลั่นแกล้งร้องเรียน กล่าวหาว่านำเงินบริจาคไปสร้างบ้านและใช้จ่ายส่วนตัว - มั่วผู้หญิง หลังจากออกรายการ คนค้นคน ได้ไม่กี่อาทิตย์ เป็นเรื่องที่มิอาจทำให้เขาหวั่นไหวและเจ็บปวดอีกต่อไป...


ใช่ เป็นเพราะเขาได้สะสมภูมิคุ้มกันความชั่วร้าย จากความน่าขยะแขยงของมันที่เขาเคยตกเป็นเหยื่อมาก่อน...


นับตั้งแต่ - การถูกบอกปัดความรับผิดชอบเรื่องเงินกู้ จากภรรยาและพ่อแม่ของตำรวจรุ่นพี่ ที่เขาเป็นคนค้ำประกัน ที่ไปยิงคนตายและหนีไป และความชั่วร้ายแบบหน้าด้านๆของคนใจดำอำมหิตและโหดหิน จากท่านนายพันโท... อดีตเจ้านายเก่าของเขา ที่ต่างทิ้งหนี้ไว้ให้เขาชดใช้ ผ่านมาจนถึงความชั่วร้ายที่หื่นกระหายในกามของท่านพระครู... ที่เขาแทบเอาชีวิตหนีออกมาไม่รอด จากวัดถ่อยๆและสารเลวแห่งนั้น - จนเพียงพอแล้วนั่นเอง...

 

12

 

ครับ ทั้งหมดนี้

คือรายละเอียดชีวิตของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็น และอยากเข้าใจ ซึ่งผมก็ได้รับคำตอบแล้ว ว่าจิตใจชนิดนี้ของเขาถูกหล่อหลอมมาด้วยเหตุใดของชีวิต และมีใครเป็นผู้ให้เนื้อนาดินอันอุดมแก่ดวงจิต ที่ทนเห็นเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้และด้อยโอกาสตกทุกข์ได้ยาก แล้วมิอาจมิช่วยเหลือได้ ก่อนจะพัฒนาเติบโต มาเป็นจิตสำนึกเพื่อสาธารณะชนอันยิ่งใหญ่


นับตั้งแต่วันที่คอลัมน์ ศาลาคลายร้อน ของวนัสนันท์ ได้ช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากขุมนรกแห่งหนี้สิน และสืบทอดอุดมการณ์ ( ที่ดีงามและสูงส่งที่สุดในโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ ) จากคุณวนัสนันท์ แห่งมูลนิธิพุทธวนา หรือ สาเรศ สิระมนัส นักเขียนนวนิยายชื่อดังในอดีตได้แผ้วทางเอาไว้มาเนิ่นนาน และเป็น “จินตวีร์ เกียงมี สะพานบุญ แด่ คนทุกข์ผู้ยากไร้” ในวันนี้

ซึ่งมิใช่เพียงแค่ มนุษย์ เทวดา ฟ้าดิน และอินทร์พรหม เท่านั้น

แม้แต่ยมบาลและซาตานจากขุมนรก

ก็มิอาจมิชื่นชมยกย่องสรรเสริญ

คุณงามความดีที่เขาได้กระทำ

ราวกับว่าคนที่ตกทุกข์ได้ยาก...มากมายบนผืนแผ่นดินนี้

เป็นคนในครอบครัวและญาติพี่น้องของเขาเอง.


18 มิ.. - 15 .. 2552

กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…