Skip to main content

 

1.
ผมสัมผัส งานวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองของ คำ ผกา ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับใครบางคนหรือสองคนสามคน ที่เคยแอบเป็นห่วงความแรงเธอ และต่อมาต่างก็พากันเลิกรู้สึก เมื่อเธอยืนยันความเป็นตัวตนของเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยืนหยัดอยู่ได้มานานจนเป็นปรกติธรรมดามาจนถึงวันนี้ และสรุปกันว่ามันเป็นธรรมชาติวิสัยของเธอที่ต้องเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับสังคมที่เคยตกอกตกใจ ต่างก็เคยชิน...และยอมรับความเป็นตัวตนในการสื่อสารของเธอ ทั้งคนที่รักเธอและเกลียดเธอในเรื่องอุดมการณ์ความคิดที่ต่างกัน

 
หรือ คนที่รักเธอเพราะชื่นชมในตัวเธอ และคนที่เกลียดเธอเพราะความอิจฉาในตัวเธอ ผู้หญิงเก่งที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่และมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักเขียนฝีปากกล้า ตามบทบาทที่ผมเกริ่นเอาไว้เบื้องต้น เพราะแม้แต่บางสิ่งบางอย่างในสังคม ที่คนมากมายหลายคนถือกันว่าเป็นที่พึงละเว้นหวงแหนโดยปราศจากเงื่อนไข และไม่สมควรที่จะเข้าไปแตะต้อง เช่นพระสงฆ์องค์เจ้าบางท่านที่คนชั้นกลางยกย่องนับถือที่หลุดเข้าไปในวงจรทางการเมือง และแสดงความคิดในเชิงสนับสนุนอำนาจเผด็จการที่ทำให้คนเล็กคนน้อยล้มลงตายเป็นร้อยบาดเจ็บนับพัน เมื่อเดือนเมษาและพฤษภา ปี 2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เธอก็ไม่ยอมละเว้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และชี้ให้เห็นว่าท่านทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ไปสนับสนุนการฆ่าคน ด้วยตรรกะและภาษาสำเนียงกร้าวกล้าที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเธอ
 
มีนักเลงภาษาที่ผมคารวะท่านหนึ่ง เคยอธิบายให้ผมเอาไว้อย่างน่าฟังว่า ภาษาของคำ ผกา คือภาษาที่ผสมผสานกัน ระหว่างภาษาพูดที่เป็นคำโดดๆที่เป็นออริจินัล (Original) แบบไพร่ ที่เธอจงใจไม่ยอมให้วัฒนธรรมอันศิวิไลซ์มาขัดเกลา บวกกับภาษาของปัญญาชนนักคิด และภาษาทางวิชาการสาขาที่เธอร่ำเรียนมาจนเกือบจะเป็นดอกเตอร์ หลอมรวมกันเป็นภาษาของคำ ผกา ที่เต็มไปด้วยสีสันอันรุนแรงจัดจ้าน เช่นเดียวกับภาพเขียนอันฉูดฉาดที่เขียนด้วยสีสดๆแบบภาพเขียนเอ็กเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) และช่างดูเหมาะเหม็งเสียจริงๆกับนามปากกาของเธอ ที่แปลไทยเป็นไทยได้ความหมายออกมาในเชิงแดกดันอะไรสักอย่างออกมาอย่างเจ็บปวดกระดองใจว่า ดอกทอง  
ส่วนเรื่องคนรักและเกลียดคำ ผกา นี่ เห็นได้ชัดเลยว่า ต่างก็มีพลังขับเคลื่อนที่แรงกล้าพอๆกับความแรงของคำ ผกา นั่นคือต่างรักมากและเกลียดมาก และพร้อมที่จะวิวาทะกันอย่างดุเดือด ทั้งด้วยเหตุผลและอารมณ์ล้วนๆในโลกของการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือเฟชบุ๊ก ฯลฯ ที่มักจะเล่นกันอย่างดิบๆ สดๆ แบบไม่ค่อยกลั่นกรองภาษาและอารมณ์ และต่างไม่ค่อยหวาดกลัวผลกระทบที่จะติดตามมา เพราะส่วนใหญ่มักจะใช้นามแฝงมาสำแดงพลังกัน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบ จนเป็นเรื่องปรกติธรรมดาอีกเช่นกัน
 
แต่ที่น่าทึ่งมากๆก็คือ คนที่เกลียดคำ ผกา บางพวกบางกลุ่ม เขาถึงกับตั้งชมรมคนเกลียดคำ ผกา กันขึ้นมา และป่าวประกาศชักชวนคนอื่นๆมารวมตัวกันเกลียดและสาปแช่งคำ ผกา กันอย่างเอาจริงเอาจัง การแสดงความเกลียดคำ ผกา อย่างเป็นระบบที่ชมเชยนี้ ว่าๆไปแล้ว ก็ดูไม่ต่างจากบรรดาหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยที่ง่อยเปลี้ยในประวัติศาสตร์ ที่ป่าวประกาศรวมตัวกันด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้รับทราบข่าวว่า กองทัพอันห้าวหาญจากแดนไกลจะเดินทัพผ่านหัวเมืองเหล่านี้ไปตีเมืองใหญ่ โธ่เอ๋ย...จะไปเกลียดไปกลัวอะไรกันนักหนาถึงปานนี้ ในเมื่อ คำ ผกา เป็นเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เท่านั้นเอง
 
2.
 

 
วันนี้ ( 3 ธ.ค. 54 ผมตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการแฮงก์เหล้า ลุกขึ้นไปเปิดหน้าแรกของเว็บประชาไท ผมต้องตกใจที่พบข่าวของ คำ ผกา ที่พาดหัวตัวโตว่า “คำ ผกา เปลือยกาย เปิดใจ ไม่เกลียดไม่ชัง” พร้อมกับภาพเปลือยครึ่งตัวของเธอ ที่ผมตกใจมิใช่เป็นเพราะว่าภาพเปลือยของเธอ เพราะผมเคยเห็นภาพเปลือยของเธอในนิตยสาร GM ที่เปลือยยิ่งกว่านี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นการเปลือยด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง รวมทั้งความต้องการจะพิสูจน์บางสิ่งจากสังคม
 
ที่ผมตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่า เธอจะลุกขึ้นมาเปลือยกายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมต่อสู้ปัญหาทางสังคมระดับชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่โตกว่าเรื่องที่เธอเคยเปลื้องผ้าทำมาก่อนมากมายหลายเท่า และเป็นการสื่อสารที่เกินปรกติธรรมดาของเธอที่แรงเสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว และในงานนี้โดยส่วนตัวผม ผมถือว่าเป็นการสื่อสารแบบก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ความแรงจนสุดขีดของเธอ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่คุณอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ อากง ที่ต้องคดีหมิ่นฯ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีรายละเอียดของข่าวทั้งหมด ดังนี้
 
“คำ ผกา” เปลือย (หน้าอก) และ (หน้าใจ) ส่งข้อความเรียกร้องปล่อยอากง ชี้สังคมไทยต้องก้าวข้ามความกลัว ถอดอคติ และสำรวจจิตใจตนเองในฐานะมนุษย์
 
เมื่อวันพุธ (30 พ.ย. 54) ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะได้เห็นแคมเปญ “ฝ่ามืออากง” กันไปบ้างแล้วในเฟชบุ๊กการรณรงค์ดังกล่าว เริ่มต้นโดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้แก่นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ด้วยการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ (ในขณะนั้น)
 
แคมเปญดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ใช้เฟชบุ๊กในประเทศและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีคนส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” เขียนบนฝ่ามือในการรณรงค์ดังกล่าว 150 คน ในเวลาเพียง 2 วัน หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงสาวเปลือยพร้อมข้อความ “No Hatre Naked Haked Heart” หราอยู่บนหน้าอกหน้าใจ พร้อมคำว่า “อากง” บนฝ่ามือจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก ลักขณา ปันวิชัย หรือนักเขียนชื่อดังในนาม “คำ ผกา”
 
เธอเล่าให้ฟังว่า “Art Proet” ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นภาพเปลือยของเธอพร้อมข้อความ “No Hatre Haked Heart” เขียนด้วยน้ำหมึกดำอยู่บนอกสองข้างออกมาว่า อยากสื่อออกไปถึงสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความเป็นมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่า
 
ทำไมกรณีของอากงจึงเกิดขึ้นได้
มันเป็นสิ่งยอมรับได้ไหม
และมันมากไปหรือเปล่า
 
“แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอม อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรสักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปสู่สังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นไปด้วยกัน” เธอกล่าว
 
“คำ ผกา” ให้รายละเอียดอีกว่า งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งคนกล้าเปิดกาย - ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวเองนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้า และเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง.
 
3.
ครับ ผมคงไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ศิลปะงานสื่อสารชิ้นนี้ของเธอ เพราะเธอได้พูดถึงเป้าหมายของเธอออกมาแล้วอย่างชัดเจน และเมื่อมองจากข้อเท็จจริงจากจำนวนผู้ที่โพสท์เข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานนี้ของเธอจากข่าวนี้นับเป็นร้อยๆข้อความ จนผมแทบอ่านไม่หวัดไม่ไหว แต่เท่าที่ผมอ่านดูแบบผ่านๆ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์กว่าๆชื่นชมและเห็นด้วยกับความกล้าหาญเกินร้อยของเธอ
 
อีกไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ เข้าใจว่า คงจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามกับเธอและคนที่เกลียดในตัวเธอ ดังที่ผมได้กล่าวเอาไว้ในเบื้องต้น ซึ่งต่างไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลใดๆมาหักล้างงานสื่อสารในรูปแบบนี้ของเธอ นอกจากก่นด่าประณามเธอ และมองผ่านวาทกรรมการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมของเธอที่เป็นแก่นสารของงานไปที่ร่างเปลือยของเธอ ที่แลดูงดงามได้สัดส่วนตามลักษณะโครงสร้างเฉพาะที่เป็นอนาโตมี่ของเธอ ซึ่งไม่มีกริยายั่วยวนชวนเชิญในทางกามารมณ์แม้แต่น้อย
 
โดยพุ่งตรงลงไปหาเรื่องตำหนิติเตียนและเยาะเย้ยสีของหัวนมเธอ  ซึ่งเป็นสีของหัวนมที่ต่างจากสีหัวนมตามค่านิยมที่มาจากอุดมคติความงามของผู้หญิงแบบโรแมนติกดั้งเดิมของคนชั้นสูง หรือสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ในการกำหนดคุณค่าต่างๆในสังคม และดูเหมือนว่าจะมองเห็นคุณค่าของผู้หญิงอยู่เพียงมิติเดียว นั่นคือ เป็นวัตถุทางกามารมณ์ ที่ถ่ายแบบผ่านทางงานวรรณกรรมและงานจิตรกรรม ฯลฯ โดยศิลปินที่รับใช้ชนชั้นของเขาผ่านลงมาสู่คนชั้นกลางที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคนชั้นสูง โดยกำหนดมาตรฐานความงาม ตั้งแต่เส้นผม ใบหน้า อก เอว สะโพก มือไม้ ลงไปถึงปลายตีนอย่างเคร่งครัด ดังเช่นภาพของนางในวรรณคดีผู้เลอโฉม
 
โดยเฉพาะเต้านมจะต้องไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป จะต้องเต่งตึงชูชัน และเมื่อเอามือกอดอกเต้านมทั้งสองข้างจะเบียดชิดติดกัน จนสามารถเด็ดดอกไม้ไปเสียบก้านไว้ได้โดยไม่ตกหล่น และหัวนมต้องเป็นสีชมพู หรือสีแดงระเรื่อเป็นประกาย เท่านั้น จึงจะเรียกว่าสวยและเป็นที่ยอมรับ
 
ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ที่เป็นคนผิวคล้ำและดำ ซึ่งหัวนมก็ย่อมต้องคล้ำและดำไปตามโทนของผิวเกือบร้อยทั้งร้อย และในโลกของความเป็นจริงของสามัญชนคนธรรมดา ก็ไม่เห็นมีใครที่ไหนเขาเดือดร้อนเรื่องหัวนมของผู้หญิงไทยคนไหนจะขาว จะคล้ำ หรือว่าดำ   
 
ซึ่งมิใช่เรื่องที่แปลกประหลาดแต่ประการใด ถ้าใครจะชอบหรือชื่นชมบูชาความงามเช่นนี้  เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยมที่ห้ามกันไม่ได้ แม้แต่คนที่เป็นไพร่จะชอบความงามแบบศักดินา หรือคนที่เขาเป็นศักดินาจะชอบความงามแบบไพร่ ใครเลยจะห้ามใจใครได้ และคงไม่มีปัญหาโลกแตกแต่ประการใด ถ้าหากไม่มีคนหยิบยกเรื่องนี้มากดข่มคนอื่นเขาในทางวัฒนธรรม โดยถือตัวว่ามีรสนิยม มีมาตรฐานทางสุนทรียะสูงกว่าและดีกว่าคนอื่นเขา ที่ไม่คิดและชอบเหมือนตนเอง...
 
แต่ก็เท่านั้น เดี๋ยวนี้ ผู้หญิงผิวดำแล้วหัวนมจะขาว หรือผู้หญิงผิวขาวแล้วหัวนมจะดำ แหกเหล่าแหกกอของตัวเองออกมานอกกฎของดาร์วิน ก็หาใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวลของผู้หญิงในยุคใหม่ของเราแต่ประการใดไม่ ในเมื่อสาวนิโกรผิวดำมืด...ราวกับขุดออกมาจากเหมืองถ่านลิกไนต์ และมีหัวนมดำยิ่งกว่าหมึกอินเดียนอิ๊งค์ ยังได้รับการยกย่องให้เป็นนางแบบ และเป็นซิมโบลเซ็กซ์ระดับโลกกันมาแล้วตั้งหลายคน นี่คือข้อเท็จจริงของโลกและสังคมที่เปลี่ยนไป
 
4.
สรุปได้ว่า งานชิ้นนี้ของ คำ ผกา ประสบความสำเร็จด้วยความครึกโครมในสื่อทางเลือกเป็นอย่างดีและคงส่งผลไปถึงสื่อกระแสหลักด้วย ถ้าหากไม่มีคนจงเกลียดจงชังเธอ - - - ทั้งในทางการเมืองและส่วนตัว พากันขุดคุ้ยกฎหมาย (ถ้ามี) หรือออกกฎหมายมาเอาผิดกับเธอที่เปลือยอกออกมาแล้ว แต่ไม่ยอมปิดหัวนม...เหมือนภาพเปลือยในหนังสือโป๊ที่ไร้รสนิยมทำกัน เพราะกลัวว่าถ้าไม่ปิดหัวนม...ด้วยอะไรสักอย่างเอาไว้ จะทำให้ศีลธรรมอันดีงามในสังคมตกต่ำ เศรษฐกิจของประเทศล่มจม สถาบันทางการเมืองปั่นป่วน และเกิดไฟประลัยกัลป์ล้างโลก.
 
3 -  5 ธันวาคม 2554 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทักษิณ ชินวัตร เดินทางลงมาจากยอดเขาสูงลงมาสู่พื้นดินเบื้องล่างเป็นเวลานานนับปีแล้วหลังจากต่อสู้ปีนป่าย...ขึ้นไปอยู่บนยอดสุดเป็นเวลานานหลายปีแต่ทันทีที่เขาก้าวย่างลงมาเหยียบฝ่าเท้าลงไปแตะผืนแผ่นดินเบื้องล่างเขาก็พลันพบว่า...พื้นดินบนผืนแผ่นดินไทยมิใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขาเสียแล้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 เมื่อวานนี้ ข้าจำใจต้องตัดสินใจซื้อบัตรตีตั๋ว - ขึ้นชิงช้าสวรรค์กับเด็กๆในงานสวนสนุกข้างบ้านเพราะทนคำรบเร้าของเด็กๆที่ต้องการให้ข้าขึ้นไปนั่งเป็นเพื่อนไม่ไหว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือที่มีท่านผู้รู้กล่าวกันว่าต้นตอสาเหตุ - ของความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างรุนแรงในสังคมไทย ที่กำลังลุกลามกันใหญ่...และยากจะหาข้อยุติในขณะนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้น...จากคนเพียงสอง - สามคน ขัดแย้งกันแล้วชักชวนคนอื่นๆมาเป็นพรรคพวกร่วมทะเลาะกันไม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 มีคนเคยบอกฉันว่า "การเดินทาง คือกำไรของชีวิต" อาจเป็นเพราะความฝันกระมัง ที่ทำให้ชีวิตฉันต้องเดินทางอย่างมากมาย สมัยฉันเป็นเด็กเล็ก ฉันเคยฝันกับตัวเองเอาไว้ว่า สักวันหนึ่ง...ฉันจะเป็นดั่งซานตาคลอส นักบุญใจดี ที่ชอบแบกถุงผ้าใบใหญ่พาดไหล่ เดินทางเอาขนมไปแจกเด็กๆที่หิวโหยในวันคริสต์มาส...ฉันเชื่อว่าความฝันช่วยทำให้ชีวิตคนเราในแต่ละวัน - มีความหมาย และเฝ้าบอกแก่ตนเองเสมอว่า ความฝันต้องควบคู่กับการเล่าเรียนศึกษา เพื่อเป็นบันได...ทอดขึ้นไปสู่อนาคตอันสดใส สำหรับก้าวขึ้นไป - ไขว่คว้าความฝันให้เป็นจริง...จนกระทั่งฉันโตเป็นหนุ่มฉันจึงเริ่มฝัน เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมา ฉันฝันว่า วันหนึ่ง…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภายในกำแพงที่คุมขังแห่งนี้เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผม ป้องกันไม่ให้ผม ต้องถูกบังคับสับถูกโขกให้ออกไปตระเวนร้องเพลงตามข้างถนน ซึ่งไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกอย่างไร จะต้องทำเงินให้ได้ ตามยอดเงินที่นายพ่อตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด จะกินอิ่มหรือไม่ นายพ่อไม่เคยถาม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อเดินทางจากลำปางมาอยู่กับท่านเศรษฐีใจบุญที่กรุงเทพ ท่านให้ผมเรียกท่านว่า "นายพ่อ" ท่านได้สอนให้ผมร้องเพลงเล่นกับวงดนตรีคนพิการของท่าน รวมทั้งสอนให้ขายล็อตเตอรี่ด้วย เพื่อให้ออกไปหาเงิน ผมก็ไป ไม่เคยอิดออดอะไร เพื่อหวังจะได้เรียนหนังสือและมีชีวิตที่ดีขึ้น...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วันที่ฉันได้รับจดหมายจากแดน 3 ฉันกำลังมีความสุขกับงานขึ้นบ้านใหม่ บ้านที่ฉันกู้เงินสหกรณ์ตำรวจ และขายวัวทั้งฝูงที่เลี้ยงเอาไว้ นำเงินมาสร้างให้แม่แก้ว แม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตฉัน โดยยอมทิ้งความอยากได้รถยนต์เก๋ง วีออสสีดำ ป้ายแดง ที่ฝันจะขับตะรอนทัวร์ ออกไปช่วยเหลือผู้คนตามต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล แต่เอาเข้าจริงๆความฝันกับความเป็นจริง มักเดินสวนทางกันเสมอ...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เธอสวยถึงแม้เธอจะแต่งตัวขะมุกขะมอมด้วยเสื้อผ้าราคาถูกและเก่าคร่ำคร่าแต่เปลือกกายภายนอกอันหม่นหมองของความยากไร้หาได้บดบังความงามของเธอไม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  1. ยามเช้าเปิดหน้าต่างตะวันออกเพื่อรับแสงสว่างและข่าวคราวจากโลกภายนอก
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  สวยหรือไม่สวยเพราะหรือไม่เพราะหอมหรือไม่หอมอร่อยหรือไม่อร่อยสบายหรือไม่สบายดีหรือไม่ดี...ข้าใช้ความรู้สึกนึกคิดจากเลือดเนื้อชีวิต กว้างศอก ยาววา ของข้าตามกรอบความรู้สึกนึกคิดแบบทวิลักษณ์นี้แยกแยะสิ่งดีสิ่งเลว ความผิดความถูกต้อง ความดีและความชั่ว ออกจากกันตั้งเล็กจนโตและตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้เพื่อเลือกรับและปฏิเสธสิ่งต่างๆในโลกครอบคลุมไปหมดทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตายและทำให้ชีวิตข้าอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายและความโหดร้ายของชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเกลียดและฉันรักเธอมาทักถามทำไมในเหตุผลเหตุใดรัก เหตุใดเกลียด เกิดในตนสิ่งใดดลดาลใจให้เกิดมา
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
รื่นเริงเถิดจงรื่นเริงเถิดชีวิตนี้เกิดมาสั้นนักหนารื่นเริงเถิดมิตรอย่ามัวรอช้าก่อนเวลารื่นเริงจะหมดสิ้นไป