Skip to main content

เมื่อคน คนหนึ่งล้มลงป่วย เขาย่อมได้รับการเยียวยารักษา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไร หาไม่เช่นนั้น..อาการป่วยไข้ของเขาย่อมลุกลามใหญ่โต และชีวิตเขาย่อมมีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งถึงแก่ชีวิตได้
 
แต่สังคมไทยเราที่คนเล็กคนน้อย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ป่วยกลับมิให้ได้รับการเยียวยารักษาเพราะการเยียวยารักษาสังคมดังกล่าวหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ที่ทำให้ชนชั้นนำที่ควบคุมกลไกระบบต่างๆในสังคมเอาไว้ ต้องสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่ผูกขาดกันมายาวนานพวกเขาจึงต้องคอยขัดขวางเอาไว้...มิยอมให้ใครมาเยียวยารักษา แม้เพียงแค่การเยียวยารักษาขั้นพื้นฐานให้มีปัจจัย 4 เพียงพอแก่การดำรงชีพ
 
ผ่านมา - - จนถึงยุคพวกพ่อค้านายทุนเติบโตขึ้นมา และเข้าไปมีบทบาทในทางการเมือง จนกระทั่งสามารถขึ้นมาเป็นรัฐบาล ผลัดกันกุมอำนาจรัฐกับชนชั้นนำทุนเก่าได้ แม้จะถูกคอยจ้องทำการรัฐประหารซ้ำซาก แต่ก็สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก...จากการเลือกตั้งในปัจจุบัน
 
ก็หาได้มีอะไรแตกต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะชนชั้นนำทั้งสองฝ่ายระหว่างทุนเก่าอำมาตย์ศักดินาและทุนพ่อค้านายทุนยุคใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ยังคงมัวขับเคี่ยวกัน ระหว่างฝ่ายที่กลับขึ้นมาเป็นรัฐบาล และฝ่ายที่กลับไปเป็นฝ่ายค้าน ที่ต้องการล้มล้างฝ่ายรัฐบาลให้จงได้...
 
โดยฝ่ายหนึ่งฉวยเอาคนเล็กคนน้อยส่วนใหญ่ของประเทศเข้าไปเป็นพรรคพวก อีกฝ่ายหนึ่งที่มีกองทัพหนุนหลัง ชักชวนคนชั้นกลางที่ฝักใฝ่ฝ่ายตนเข้าไปร่วมต่อสู้ ถึงขั้นล้มลงกันตายเป็นร้อย บาดเจ็บสาหัสนับพัน และติดคุกติดตะรางกันเป็นทิวแถว โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยที่เรียกกันว่า คนเสื้อแดง เมื่อกลางปี 2553 ก่อนการเลือกตั้งปี 2554 เพื่อแลกกับความหวัง...ที่จะให้แก่พวกเขา ที่เอาชีวิตมาแลกให้ชนชั้นนำ...นำไปใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กันทางการเมือง เพื่อช่วงชิงกันเป็นรัฐบาลตั้งแต่ทางใต้ดิน ทางสื่อ ตามท้องถนน ฯลฯ ขึ้นไปจนถึงรัฐสภา มาจนถึงบัดนี้
 
 
 
     
นอกจาก เรื่องเศร้าที่น่าเบื่อนี้แล้ว จะมีใครสักคนบ้างหนอ... ในชนชั้นนำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย ที่คิดถึงภาพรวมทั้งหมดของสังคมไทยในอนาคตและกลัวว่าถ้าหากขืนปล่อยให้สังคมที่มีผู้ป่วยที่เป็นคนเล็กคนน้อยจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นฐานรากรองรับสังคมในรูปปิรามิด เพราะเป็นพลังการผลิตทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่ทำให้สังคมทั้งหมดดำรงอยู่ได้
 
โดยตระหนักแน่ชัดว่า หากขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สังคมทั้งหมดคงมีอันเป็นไปเหมือนกับองค์พระเจดีย์ริมฝั่งแม่น้ำที่ปราศจากคนดูแลเอาใจใส่ ถูกกระแสน้ำไหลซึมเข้าไปกัดเซาะบริเวณฐานรากที่รองรับน้ำหนัก ปีแล้วปีเล่า...จนทรุดตัวลงและไม่สามารถรองรับน้ำหนักทั้งหมดที่กดทับลงมาได้อีกทำให้องค์พระเจดีย์ทั้งหมดแตกแยกพังทะลายตั้งแต่ชั้นล่างสุดขึ้นไปจนถึงชั้นยอดสุด และรีบลงมือแก้ไขเยียวยา...
 
คงยากแสนยาก...ที่จะหาคนคิดและเชื่อกันว่ามันจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นนำที่คิดถึงแต่ตัวเองและพวกพ้องเช่นเดียวกับที่ไม่มีคนคิด...และเชื่อกันว่า จะเกิดมหาอุทกภัยน้ำท่วมทั้งประเทศพินาศกันจนถ้วนหน้า
 
ถ้าหากวันนั้นมาถึง หายนะที่เกิดขึ้นย่อมใหญ่โตและร้ายแรงยิ่งกว่าการเกิดมหาอุทกภัยเดือนตุลา 2554มากมายหลายเท่า และอำนาจใดๆในสังคมก็ไม่อาจเก็บชิ้นส่วนใดๆขึ้นมาประกอบรูปใหม่ให้ได้ดังเดิม เพราะมันเป็นการแตกแยกพังทลายของสังคมทั้งหมดเหมือนกับองค์พระเจดีย์ทั้งองค์แตกแยกพังทลายเพราะฐานรากทรุดตัวลง...จนไม่อาจรองรับน้ำหนักทั้งหมดที่กดทับลงมาได้
 
ตราบใดที่ยังมีคนนอนหลับและฝันดีซ้ำๆซากๆอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ ยังถูกควบคุมเอาไว้เป็นปรกติดังเดิม เหมือนที่เชื่อกันว่าอุทกภัยน้ำท่วมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ไม่มีวันจะพุ่งทะลักเข้าไปถึงใจกลางเมืองหลวงของประเทศ เพราะควบคุมกันเอาไว้ดีแล้ว
วันหนึ่งเราอาจต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา...ในเวลาที่สายไปเสียแล้ว เป็นครั้งที่สอง
 
ทั้งๆที่ผู้ในคนยุคปัจจุบันนี้...เขามิได้ปฏิเสธสังคมแบบทุนนิยม หรือคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรกันนักหนา เขาต้องการเพียงแค่ ระบอบประชาธิปไตยจากใครก็ได้ที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่คนเล็กคนน้อยส่วนใหญ่ที่ลำบากยากจนมีปากมีเสียงเรียกร้องในสิ่งที่เขาควรได้ควรมี โดยไม่มีอำนาจนอกระบบเข้าไปแทรกแซง ทำให้ระบอบการเมืองที่เลวน้อยที่สุดในโลกนี้บิดเบี้ยว แค่นั้นเอง
 
แค่นั้นเอง...ไม่ว่าใครขึ้นไปเป็นรัฐบาล ถ้าหากท่านสามารถแก้ปัญหาโดยเฉพาะปัญหาปัจจัย 4 ที่จำเป็นแก่การดำรงชีพให้แก่คนเล็กคนน้อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง เขาไม่สนใจหรอก ว่าพวกคุณจะเป็นใครมาจากไหน
 
เชื่อเถอะ...เขาพร้อมที่จะเลือกคุณเป็นรัฐบาล และปกป้องพวกคุณเอาไว้ทุกสมัย มิใช่ช่วยแก้ปัญหาเพียงแค่ พอมีกิน อย่างจำกัดจำเขี่ย เหมือนให้สัตว์เลี้ยงกินแต่พออิ่ม และหลอกให้ฝันไปวันๆ เพื่อรักษาคะแนนเสียงของตนเองเพื่อให้อยู่ได้นานที่สุด แม้แต่รัฐบาลปัจจุบัน...ซึ่งแท้จริงแล้วก็แทบไม่ให้อะไรแก่พวกเขาเลย เมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจอันโหดร้ายของสังคมในขณะนี้
  
ก็เท่านั้น... ไม่ว่าจะเป็นไพร่พ่อค้าหรืออำมาตย์ศักดินาขึ้นมาเป็นรัฐบาล ย่อมไม่มีความหมายอะไรแก่สังคมที่ป่วยไข้นี้ หากทุกอย่างยังคงเป็นไปเหมือนที่เคยเป็นมา...ตั้งแต่ยุคนายกับทาส
 
คงมีสักวันหนึ่งหรอก ที่สังคมทั้งหมดนี้...จักมีอันเป็นไปด้วยตัวของมันเอง เช่นเดียวกับองค์พระเจดีย์แตกแยกพังทลายลงมาย่อยยับ.
 
หมายเหตุ; ตีพิมพ์ครั้งแรกในชื่อ “ยิ่งกว่ามหาอุทกภัย” ในหน้าบทความพิเศษของ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 25 พ.ย. - 1 ธ.ค. 54  
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายอย่าสิ้นคิดสิ้นหวังให้มากนักไปเลยโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่โลกนี้ทั้งโลก...ไม่ได้มีแต่คนเลวและความชั่วร้ายอย่างที่น้องชายประณามและสิ้นหวังหรอกโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่มากมายมองดูสิเห็นไหมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในโลกถึงขั้นทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมโหฬารไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันหรือภัยที่เกิดจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ณ ซีกใดในโลกนี้เราจะเห็นคนดีและความดีของพวกเขาที่ทำให้โลกนี้...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องยาก เพราะชีวิตเป็นอย่างที่มันเป็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น อย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือที่เขาพูดกันว่าเราหว่านเมล็ดใดลงไปในท้องทุ่งถ้าหากเมล็ดนั้นมิได้เน่าเปื่อยตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งมันย่อมจะงอกงามเติบโตให้พืชผลแก่เราตามชนิดของเมล็ดพืชพันธุ์นั้นดังเช่นชาวนาหว่านเมล็ดข้าวลงไปในท้องทุ่งเขาก็ย่อมได้ต้นข้าวและเมล็ดข้าวเป็นผลของการหว่านเมล็ดลงไปในท้องทุ่งเมื่อถึงวาระแห่งการงอกงามเติบโตและแตกดอกออกผลจริงหรือที่เขาพูดกันว่าการกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา และ ใจของคนเราที่เราได้กระทำต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน โลก…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                     ลมแล้งโชย…ปลิดโปรยใบไม้แห้ง                     สีส้มแดง เหลือง น้ำตาล หวานอมเศร้า                     ร่วงหล่นลอยเคว้งคว้างมาบางเบา                     ซบลานดินเงียบเหงา……
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                   …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยิ่งชูก้านกิ่งใบไปสู่ฟ้าราวจักคว้าดวงตะวันอันสุกใสลงจากฟ้ามาเล่นเป็นโคมไฟส่องดวงใจตกอับคนคับแค้นและยิ่งสูงขึ้นไปจนไกลลิบราวจักหยิบดวงดาวพร่างพราวแสนมาเรียงร้อยสร้อยดาววับวาวแทนสร้อยใส่แขนเจ้าสาวผู้หนาวรักยิ่งต้องหยั่งรากลึกลงสู่ดินดูดดื่มกินโลกธาตุอย่างหน่วงหนักทุกเส้นสายชอนไชลงไกลนักเพื่อที่จักเติบใหญ่ให้ร่มเงาเพื่อผลิดอกออกผลจนสุกงอมเพื่อโน้มน้อมกิ่งลงดำรงเผ่าเพื่อสืบเนื่องชีวิตนี้แนบเนาเพื่อกล่อมเกลาโลกขมขื่นให้ชื่นบานเพื่อที่จักตายไปในวันหนึ่งเมื่อยามถึงกาลเวลามาเรียกขานทอดกายลงพักผ่อนนอนนิ่งนานอยู่ในกาลนิรันดร์สงบเงียบ.27 มีนาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วิถีในทางโลกและทางธรรมมันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามและสวนทางกันแทบทุกกรณี เช่น ในขณะที่ทางโลกสอนให้เรายึดมั่นถือมั่นเอาโน่นเอานี่ แต่ทางธรรมกลับสอนให้เราลดละปล่อยวางทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม เพื่อจะนำชีวิตไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากมุมมองของผม ซึ่งเป็นคนที่ยังมีกิเลสค่อนข้างหนาหนัก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ยังติดข้องอยู่ในโลก จะเดินเข้าไปสู่ทางธรรมได้ ถ้าหากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความศรัทธาและแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ดึงดูดให้เข้าไปโดยเฉพาะการเดินเข้าไปสู่ทางธรรมในฐานะนักปฏิบัติ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายน้องชายที่รักของข้าจงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลวจงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสารมันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แล้วในที่สุดก็ถึงวันนี้วันที่อดีตท่านนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินไทยเที่ยวที่ ที จี 603 ที่ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 09.40น.ของวันที่ 28 ก.พ. เพื่อกลับมาต่อสู้คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดา ที่ท่านตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ท่ามกลางความดีอกดีใจของฝ่ายที่สนับสนุนที่พากันไปต้อนรับอย่างเอิกเกริก และท่ามกลางความตึงเครียดของฝ่ายคัดค้าน ที่เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ออกมาประปรายถึงแม้การยอมรับกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในสังคมของอดีตท่านนายกฯ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก…