Skip to main content

30_06_1

 

 

ใช่

เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งร้ายทำลายกัน

ต่างฝ่ายจึงต่างขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกัน

ออกมาตีแผ่ ก่นด่า ประณาม หยามเหยียด เยาะเย้ย

และลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกัน

ด้วยถ้อยคำที่เลวร้ายและหยาบคายป้ายสี

สาดใส่กันและกัน...

ต่างฝ่ายจึงต่างจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกัน

มากขึ้นทุกวัน...

มากขึ้นทุกวัน...


ใช่

เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมหยุด

เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก

หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมหยุด

ยอมลดราวาศอกให้

แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม

ยังคงมาดหมายจะขยำขยี้อีกฝ่ายให้แหลกคามือให้จงได้

หากเป็นเช่นนี้

โอ้ เอย-ใครเลยจักห้าม

มิให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาได้

ถ้าหากเหตุปัจจัยในการปะทะกัน

ระหว่างสองสังคมที่ขัดแย้งกันในวันนี้

ยังคงเป็นเช่นนี้อีกต่อไป


ใช่

มันจะต้องเกิดขึ้น...

มันจะต้องเกิดขึ้น...

ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะช่วงชิงชูป้ายอุดมการณ์ ผูกขาดความดีงาม ความยุติธรรม

ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาไว้สูงส่งเลอเลิศ ( แต่เพียงผู้เดียว ) เพียงใด

และไม่ว่าใครในโลกนี้จะชอบหรือไม่ชอบ

ถ้าต่างฝ่ายต่างยังคงปฏิบัติต่อกันอย่างเลวร้ายและหยาบคายเช่นนี้

จนถึงจุดจุดหนึ่งที่เรียกกันว่า

จุดที่น้ำมันถูกราดเข้ากองไฟ


ใช่

เราคงจะทำกันได้ดีที่สุดเพียงแค่...

เตรียมแต่งชุดดำไปหลั่งน้ำตาในงานศพ

งานศพของพี่น้องร่วมชาติของเราทั้งสองฝ่าย

ที่ตกเป็นเหยื่อความเลวร้ายของการเมือง

ซึ่งแท้จริงมีเจตนาเพียงแค่...

จะแก้ความขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์มหาศาลของคนไม่กี่คน

ที่ขัดผลประโยชน์กัน

ด้วยโทสะจริต

สาธุ!


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…