Skip to main content

 

วันที่โรงเรียนปิด

ได้ไปหาหมอทองรัก เป็นคลินิกอยู่ตึกแถวห่างจากย่านไนท์บาร์ซ่าราว 100 เมตร หมอฟังอาการจากคนไข้ แล้วบอกนอนบนเตียงคนไข้ หมอใช้มือกดกลางท้อง แล้วย้ายมาใช้นิ้วเคาะท้องด้านข้างเสียงดังปุๆ หมอลงความเห็นว่า ไม่เป็นโรคร้ายแรง เพียงแต่ลำไส้ย่อยเร็วเกินไป ผมโล่งอกรับยาหมอมากิน

 

เหตุการณ์ระทึกขวัญ

ครั้งแรกในชีวิตครูผู้สอนมาถึง ผมกำลังสอนวิทยาศาสตร์ กำลังวาดรูปดอกชบาบนกระดานดำ หันหลังให้นักเรียน ได้ยินเสียงโครม เสียงร้องแหลมของนักเรียนหญิง ผมหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว เห็นสุทัศน์นักเรียนชายที่ตัวโตที่สุดในห้อง นักเรียนที่ไม่ค่อยพูดมาก ยกโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นเหนือศีรษะ หันหน้าไปทางกลุ่มนักเรียนหญิงหลังห้อง ได้ยินเสียงสุทัศน์ครางในคอ โต๊ะตัวหนึ่งตะแคงบนโต๊ะอีกตัวกลางห้อง ตัวนี้เองที่ทำให้เกิดเสียงดังเมื่อครู่ นักเรียนชายที่นั่งข้างหลังเริ่มแตกฮือ สุทัศน์ขยับตัวเข้าไป นักเรียนหญิงส่งเสียงวี้ดว้ายอีก ผมได้สติส่งเสียงเรียก

สุทัศน์ ๆ อย่า !”


ไม่ได้ผล สุทัศน์ไปไกลเกินห้ามเสียแล้ว ผมหันรีหันขวางไม่รู้ทำอย่างไรดี ต้องหาผู้ช่วยเหลือ ครูใหญ่ไปประชุม นึกถึงครูปรีชา ครูรุ่นพี่สอนมาก่อนผมหลายปี และเป็นคนในพื้นที่ ผมวิ่งไปที่ห้องพักครู มองหาครูปรีชา ใจมาเป็นกองเมื่อเห็นครูปรีชา รีบเข้าไปเล่าเรื่องราวน่าตระหนกให้ท่านฟัง ครูปรีชาฟังอย่างตั้งใจหน้าเคร่งเครียด ครูปรีชาตัวเล็กกว่าผมและเล็กกว่านายสุทัศน์มาก ท่านวิ่งจากห้องพักครูมาอาคารเรียนที่เกิดเหตุ นายสุทัศน์เคลื่อนที่มายืนมือเปล่าที่หน้าห้อง ป.5 แล้ว นักเรียนหญิงยังคงส่งเสียงเล็กแหลมตกใจกลัวเป็นพักๆ เมื่อสุทัศน์แสดงท่าคุกคาม ครูปรีชาหยุดยืนหน้าอาคาร ห่างจากสุทัศน์ที่หันข้างให้ราว 8-10 เมตร ครูปรีชาส่งเสียงขึงขังบอก

นายสุทัศน์ หยุดบ่เดี๋ยวนี้ ”

สุทัศน์แสดงท่าทางแข็งขืน หันมาประจันหน้ากับครูปรีชา

คิง(มึง) จะมาสู้กับฮา(กู)กา(หรือ) ?”


เท่านี้แหละ เหมือนราดน้ำมันเบนซินบนกองไฟ เหมือนเด็กเอามือมาลูบหัวผู้ใหญ่เล่น ผมยืนเยื้องค่อนไปข้างหลังครูปรีชา เห็นริมปากครูปรีชาทั้งบนและล่างสั่นระริก ผิวหน้ากระตุกยิกๆ คล้ายคนกินเหล้ามากๆ ใบหน้าคล้ำเครียด นิ้วมือซ้ายงอเข้ามากำแน่น สายตาที่มองนายสุทัศน์ เหมือนเสือโคร่งที่หิวจัด กำลังจะกระโจนเข้าขย้ำเจ้าลูกกวางน้อยพลัดแม่ ครูปรีชาพูดอะไร ผมจำไม่ได้เสียแล้ว ทำนองคล้ายๆ ให้นายสุทัศน์ หยุดทำร้ายใคร แล้วกลับเข้าห้องเรียนตามเดิม สุทัศน์ยังไม่ยอมหยุด หันรีหันขวางแล้ววิ่งผ่านครูปรีชาไป มุ่งไปทางประตูด้านข้างโรงเรียนกลับบ้าน ครูปรีชาบ่นพึมพำ เดินมาห้องพักครู ผมตามท่านมา ท่านเล่าเรื่องของสุทัศน์ให้ผมฟัง ทั้งด้านครอบครัวและความประพฤติ ครูท่านอื่นทราบเรื่องได้มายืนออกันที่ห้องพักครู นักเรียนชั้นอื่นพอทราบเหตุการณ์ ก็ออกห้องตามครูออกมาพูดคุยซักถามกัน

 

ผมกลับมาบอกนักเรียนเข้าห้อง

ทำการสอนแบบมึนๆงงๆ ต่อไป ผมนึกถึงวิชาจิตวิทยาที่ครูทุกคนต้องเรียน เด็กก้าวร้าวคือเด็กที่แสดงออกด้วยการกระทำที่รุนแรง ด้วยวาจาหรือด้วยการกระทำ เด็กจะแสดงออกโดยทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น เด็กประเภทนี้ มักมาจากครอบครัวที่มีปัญหา ครอบครัวที่แตกแยก เช่น พ่อแม่หย่าร้างกัน พ่อหรือแม่มีคู่ชีวิตคนใหม่ โดยลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน และครอบครัวใหม่มักทะเลาะวิวาทกัน อยู่ด้วยกันอย่างกดขี่ทำร้ายกัน...วันต่อมาผมได้ทราบเรื่องราวของสุทัศน์เพิ่มเติมจากคณะครู จากนักเรียนในหมู่บ้านเดียวกับสุทัศน์ สุทัศน์อยู่กับแม่สองคน ถ้าโมโหมากๆ แกจะวิ่งทำร้ายแม่ไปรอบบ้าน ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่ลงรอยกับใครและไม่ยอมแพ้ใคร ถือว่าตนเองต้องเก่ง แข็งแรงกว่าผู้อื่น สุทัศน์ไม่กลัวใคร และไม่มีใครชอบสุทัศน์เลย

 

ในปี พ..2516

ผมสอบเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์

จึงได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนสันมหาพนวิทยา ใกล้ๆกับที่ว่าการอำเภอแม่แตง เนื่องจากอายุราชการเพียง 3 ปี จึงลาศึกษาต่อไม่ได้ เพราะทางหน่วยงานเขาจะคัดเลือกผู้มีอายุราชการมากๆไปเรียนก่อน ผมจึงขออนุญาตครูใหญ่ไปลงทะเบียนเรียนช่วงบ่ายสัก 2 วิชา สะสมหน่วยกิตไว้รอลาศึกษาต่อในปีต่อไป ครูใหญ่ใจกว้างให้ไปเรียนได้ เมื่อขึ้นปี พ..2517 ผมก็ลาไปศึกษาต่อได้เต็มที่ เรียนปีครึ่งก็เรียนจบ กลับมาสอนที่โรงเรียนสันมหาพนวิทยาที่เดิม ผมทราบข่าวต่อมาว่า สุทัศน์จบ ป.7 แล้วไม่ได้เรียนต่อ และอีก 2-3 ปีถัดมา ข่าวที่ได้รับ ทำให้ผมตกตะลึง สลดหดหู่และสยดสยอง เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านราว 4-5 คน ได้หลอกให้สุทัศน์เข้าไปในซอยเปลี่ยวยามค่ำคืน ใต้ร่มไม้ครึ้มต้นมะขามและไม้อื่นๆ ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังหลับสบาย ในความมืด วัยรุ่นคู่อริที่ไม่ชอบหน้าสุทัศน์มาเนิ่นนาน ได้รุมทำร้าย ใช้ทั้งมีด ไม้ ขวาน อาวุธในกาย รุมกระหน่ำบนร่างสุทัศน์ สุทัศน์สู้สุดชีวิตไม่มีกลัว มันจะเหลืออะไรอีก เขาล้มลงกลางดินในซอยมืด ร่างกายยับเยินด้วยรอยฟันแทง ทุบตี แผลเปรอะไปหมด...ในตอนเช้า เลือดตามตัวเริ่มแห้ง ได้มีคนเดินมาพบศพ ไม่มีใครเสียน้ำตา นอกจากแม่ของเขา.

 

 

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เป็นเวลายามเย็นแล้ว ผมยืนบนฝั่งริมตลิ่งแม่น้ำปิง ปัจจุบันเป็นทางเท้า มือจับราวเหล็กที่กั้นไว้ ทอดสายตาดูลำน้ำแม่ปิง เข้าสู่กลางเดือนมีนาคม ระดับน้ำลดลง ไหลราบเรียบ สายน้ำนี้มีตำนาน มีเรื่องราวเล่าขานมากมาย ผมเหลียวดูทางซ้าย เจดีย์ขาวอยู่ห่างไปราว 10 เมตร ยังทาองค์เป็นสีขาว รถราวิ่งวนรอบ องค์เจดีย์ขาวนี้ ถ้ามองจากระเบียงชมวิว ด้านตะวันออกของวัดพระธาตุดอยสุเทพ มองไกลออกไปไกลทางทิศตะวันออก ถ้าไม่มีหมอกควัน ไม่มีเมฆบัง จะเห็นเจดีย์ขาวชัดเจนทีเดียว ถัดไปอีกเล็กน้อย จะเป็นหน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ ข้างตลิ่งมีทางขึ้นลง พลันภาพในวัยเด็กอายุราว 10-…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เช้าตื่นขึ้นมา ราว 5 นาฬิกาเศษ เดินบริหารร่างกายลงบันได 10 ครั้ง ขึ้นบันไดโดยหลับตาอีก 10 ครั้ง ร่างกายรายงานว่า แสบจมูก แสบตา มองไปที่โค้งฟ้าทิศตะวันออก เป็นทุ่งนา สูงขึ้นไปอีกนิดเป็นถนนโค้งสายเชียงใหม่-สันป่าตอง ท้องฟ้าขมุกขมัว (ฟ้าหลัว)ไปทั่ว มันเป็นหมอกควันผสมฝุ่น สาเหตุมาจาก การเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการเกษตรในฤดูฝน เผาเศษใบไม้กิ่งไม้ เผาขยะมูลฝอย ส่วนการเผาป่านั้น ต้องมีคนเผา คงไม่เกิดไฟลุกเองได้ อีกสาเหตุหนึ่ง คนเผาป่าเพราะเข้าใจว่า ถ้าไม่เผาผักหวานก็จะไม่แตกยอด เห็ดถอบ (เห็ดเผาะ) ก็จะไม่ได้กิน การเผาทุกชนิด ทำให้เกิดอากาศเสีย เรียกให้เป็นทางการว่า " มลพิษทางอากาศ "…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ปีแรกที่เป็นข้าราชการครู ผ่านมาได้ 30 ปีเศษ ได้ซื้อจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าขนาด 90 ซี.ซี.คันหนึ่ง สีแดงสดใหม่เอี่ยม นำออกจากร้านวันอังคาร โหราศาสตร์ถือว่าวันแรงไม่ดี ผมไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไร ขับไปให้พระผูกสายสิญจน์ที่วัดดับภัยกับน้อง ผูกเสร็จลองขับดู รถแฉลบกองทรายวัดเล็กน้อย น้องพูดว่า ไม่เป็นไรขับขี่ปลอดภัย พระก็สวดแล้ว สบายใจได้ ผมไม่ได้ซื้อเงินสด ต้องผ่อนรายเดือน ขับขี่โฉบเฉี่ยวได้ 22 วัน จำได้แม่นยำ เพราะรถถูกจี้บนดอยบ้านปง อำเภอแม่แตง จากปากทางเขื่อนแม่งัดเข้าไปราว 3 กิโลเมตร คนจี้ผิวขาว ตัดผมสั้นเกรียน ผ้าขาวม้าลายคลุมไหล่ รถผมกำลังลงดอย ต้องเบรกรถเล็กน้อย โดยวิ่งชิดทางด้ายซ้าย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
นึกถึงอำเภอ ที่เคยทำงาน มีเหตุใดให้ระทึก น่าจดจำ มองไปที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ก่อนแห่งอื่น ดินแดนแห่งสวนส้มสายน้ำผึ้ง ที่ลือชื่อระดับประเทศ เข้าตัวอำเภอมองไปทางทิศตะวันตก จะเห็นสวนส้มปลูกเป็นแถวเขียวไปทั้งดอย สวนส้มที่มีมากบอกถึงปริมาณยาที่ต้องใช้ฉีด พื้นที่อยู่ใกล้เคียงสวนส้ม เช่น โรงเรียน บ้านที่อยู่อาศัย คงต้องระมัดระวัง อำเภอฝางมีร้านอาหาร สถานบันเทิงมากมาย พื้นที่กว้างขวาง ประชากรมาก แต่ยังคงเป็นอำเภอ ไม่ได้เป็นจังหวัดจนบัดนี้ มีแม่น้ำฝางไหลขึ้นทิศเหนือ ผิดแผกแม่น้ำทั่วไปที่ไหลล่องใต้ แม่น้ำฝางไหลไปพบกับแม่น้ำกก
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
จากนั้นเขาจะกลับลำเรือ กลางน้ำที่เชี่ยวจัด ช่วงนี้สำคัญ ต้องอาศัยความชำนาญ ให้กระแสน้ำปะทะข้างกราบเรือ โดยให้สัมพันธ์กับมุมเรือเลี้ยวกลับ รวมทั้งความเร็วการใช้พายบังคับเรือให้กลับตัว ไม่อย่างนั้นแล้วเรือจะพลิกคว่ำได้ จากนั้นล่องเรือตามกระป๋องล่าปลาที่ตัวโตและราคาดีที่สุดของแม่น้ำนี้ กระป๋องใดจมๆโผล่ๆ นั่นปลากินเบ็ดแล้ว รีบพายเรือไปคว้าขึ้นมา ปลาเต๊าะตัวโตเนื้อหนุ่มจะติดขึ้นมา ปลานี้แกงส้มผักบุ้งอร่อยมาก ได้มาก็นำมากินมาขาย ให้พ่อค้าแม่ค้าตลาดต้นลำไยข้างลำน้ำแม่ปิงนั่นเอง บางทีเขาก็มาซื้อที่บ้านพรานนักล่าปลา บางคนก็ทอดแหยามน้ำแห้ง บางคนใช้เศษไม้กิ่งไม้ มากองรวมกันในน้ำริมตลิ่ง
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ย่างเข้าเดือนมีนาคม น้ำแม่ข่าเริ่มแห้งแล้ว สามารถกระโดดข้ามไปได้ น้ำกินน้ำใช้ที่อาศัยบ่อน้ำในหมู่บ้าน เริ่มแห้งเช่นกัน ถ้าตักน้ำบ่อใช้มากๆ มันจะแห้งเกือบขอดก้น
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ผมย้าย จากโรงเรียนในป่าในดอย มาอยู่โรงเรียนขนาดใหญ่ประจำอำเภอ จากโรงเรียนขนาดเล็ก 1 ชั้นมี 1 ห้อง มาเป็น 1 ชั้นมี 5 ห้อง นักเรียนโรงเรียนใหม่มีจำนวน 1,500 คน เกือบเต็มสนามฟุตบอลทีเดียว ครูมีถึง 30 กว่าคน มากคนก็มากเรื่อง เพียงเข้าประชุมโรงเรียนครั้งแรก ได้พบการประคารมระหว่างครูด้วยกัน 2 กลุ่ม และครูกับผู้บริหาร มันช่างดุเด็ดเผ็ดร้อน เหมือนขบพริกขี้หนูแตกถูกลิ้นสัก 4-5 เม็ด มีรสชาติจริงๆ ผมเป็นผู้มาใหม่ จึงได้เพียงฟัง เก็บข้อมูล ครูแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นฝ่ายอาจารย์ใหญ่ อีกกลุ่มค้านอาจารย์ใหญ่ ในเวลาต่อมา มีตัวแทนสองกลุ่มมาพูดคุยกับผม ด้วยอัธยาศัยที่ดี ชักชวนเข้ากลุ่ม…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในปี 2546ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงานที่ผมทำงานครั้งสำคัญ ซึ่งตรงกับรัฐบาลอดีตนายกฯทักษิณ (พ.ศ.2544-2548) มีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ในระดับสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ เปลี่ยนจากการใช้เครื่องพิมพ์ดีด มาใช้คอมพิวเตอร์แทน บุคลากรในฝ่ายงานต่างๆ เช่น การเงิน หน่วยศึกษานิเทศก์ ต่างก็ยกเครื่องพิมพ์ดีดไปไว้ในห้องพัสดุบ้าง วางไว้บนตู้บ้าง ใครมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ก็ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์หนังสือ เก็บข้อมูล ใช้ข้อมูล ใครใช้ไม่เป็นก็ต้องไปเรียน หรือเข้าอบรมตามโปรแกรมที่ต้องใช้ในการทำงาน เรียนจากเอกชนบ้าง เข้าอบรมตามโครงการของหน่วยราชการบ้าง มีเพียง 2-3 คนยังใช้เครื่องพิมพ์ดีด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก รอทักทายอยู่ข้างหน้า กลิ่นหอมของดอกกุหลาบสีสวยสด รวยรินชวนให้สัมผัส โลกคงอบอวลด้วยกลิ่นจรุงใจของเจ้า ใยหอมชื่นเพียงไม่กี่วันคืนเล่า นี่คือวันแห่งความรัก อยากรู้นัก รักคืออะไร
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ก่อนนอน ย่าผมจะเล่านิทานให้ฟังแทบทุกคืน บางครั้งท่านก็คงจะเบื่อที่เล่าเรื่อง “เสือเย็น” ซ้ำๆ กัน แต่ทนเสียงรบเร้าของผมไม่ไหว ก็เรื่องมันสนุกตื่นเต้นนี่ครับ เรื่อง “เสือเย็น” เกิดขึ้นที่วัดหมื่นสาร ในวัยเด็ก ผมอยากทราบเหมือนกันว่า วัดนี้อยู่ที่ใด มีวัดนี้จริงไหม แต่ไม่สามารถจะค้นหาได้ ด้วยมีข้อจำกัดหลายประการ เมื่อย่าเสีย เรื่อง “เสือเย็น” เริ่มจางไปจากความทรงจำ วัยมากขึ้นก็คิดถึงเรื่องอื่นสารพัด จนกระทั่งผมเกษียณ วันหนึ่งตรงกับวันที่ 3 มกราคม 2552 ผมขับรถผ่านวัดหมื่นสาร ย่านประตูหายยา จังหวัดเชียงใหม่ เห็นมีป้ายชื่อวัด ใต้ป้ายมีรูปปั้นวัวสีขาวตั้งอยู่ ขับรถเข้าไปในวัด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ย่านั่งบนพื้นบ้าน ซึ่งเป็นไม้ ใกล้กับหลายชายวัย 10 ขวบ เปลวไฟสีส้มจากโคมตีนสูง ส่องแสงให้เห็นลังสบู่ซันไลท์เปล่าวางอยู่ข้างหน้า “ย่าหาลังเปล่ามาให้แล้ว เห็นบ่นอยากได้นัก” “ย่าไปเอาที่ไหนมาล่ะ” ผมถาม ตามองดูลังไม้ที่ทำจากต้นจามจุรีวางตะแคง หันหน้าเข้าหาอย่างพอใจเต็มที่ ข้างในมันถูกแบ่งเป็นสองชั้น “ก็ไปขอร้านขายของปากซอยมา” ผมเปิดกระเป๋าหนังสือ หยิบหนังสือเรียนมาวางแถวล่าง สมุดแถวบน นี่ละตู้หนังสือชั้นดีของผม “รักจะเอาไว้หนังสือเรียน จะจัดหนังสือ สมุดตามตารางสอน ใส่กระเป๋าเป็นวันๆ สะพายมันจะได้เบาๆ”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยเด็ก ผมปล้ำเล่นกับน้อง น้องชายอายุ 4 ขวบ ผมอายุ 7 ขวบ ผมปล้ำสู้ไม่ได้ น้องแข็งแรงมาก ผมอดขำหัวเราะไม่ได้ ผมปล้ำเจียนอยู่เจียนแพ้ จึงเปลี่ยนยุทธวีธี ใช้ลำตัวกดทับขาน้องให้แนบพื้นกระดานบ้าน ป้องกันการถีบสกัด ใช้มือทั้งสองจับข้อมือน้องชายกดไว้ น้องสะบัดหน้าไปมา แรงแกสม่ำเสมอ ผมอดหัวเราะไม่ได้ จนเผยอปากอวดฟันหลอ อดใจไม่ไหว ก้มหน้าลงไปใช้จมูกหอมแก้มซ้าย 1 ฟอด น้องส่ายหน้าไปมาคงเขิน ผมหัวเราะชอบใจพูดว่า เก่งนักหรือ หอมแก้มขวาอีกฟอดแล้วปล่อย น้องลุกขึ้นยืนถ่างขา มือน้อยๆ กำเป็นรูปกำปั้นเตรียมสู้ต่อ แม่ทำอาหารหันมาเอ็ดว่า ทำอะไรกันเสียงดังลั่น ผมออกปากยอมแพ้แกจึงหยุด…