ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
รอหมอนานๆน่าเบื่อ
ส่วนใหญ่นั่งเงียบที่แถวเก้าอี้ หูคอยฟังนางพยาบาลเรียกพบหมอ ส่วนตานั้นจับจ้องดูความเคลื่อนไหวของนางพยาบาล บางคนฆ่าเวลาด้วยการพูดคุยกับคนข้างเคียง ได้ยินนางพยาบาลที่ประจำห้องตรวจรียกชื่อคนไข้เป็นระยะๆ แล้วผายมือให้นั่งรอคิวที่เก้าอี้ข้างประตูห้องตรวจ นั่งรอหมอนานๆไม่รู้ทำอะไร ผมฆ่าเวลาโดยมองดูสิ่งรอบๆตัวให้สบายตา ดูพยาบาลชุดขาวสะอาด ผิวขาวสะอาดสะอ้าน คนนี้หน้าสวย คนนั้นตาสวย คนนี้พูดเพราะ ทุกคนเคลื่อนไหวตลอด บ้างก้มหน้าพิมพ์ข้อมูลที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ หมอเดินเร็วสลับวิ่งเข้าห้องตรวจโน้นออกห้องนี้ เสียงคนไข้นั่งหรือยืนรอคุยกันเบาๆ บางครั้งได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ลั่น ขณะหยอดยาตาเพื่อตรวจ ยานี้จะแสบมาก
ตาผมจับจ้องที่หมวกนางพยาบาล
หมวกมีรูปทรงคล้ายผ้าโพกหัวผู้หญิง ความจริงหมวกนางพยาบาลได้วิวัฒนาการมาจาก หมวก
แม่ชีในศาสนาคริตส์ เพราะนางพยาบาลเริ่มจากผู้ศรัทธาในพระเจ้า รวมทีมกันทำงานช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย ทำให้นึกถึง ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (ค.ศ.1820-1910) ผู้บุกเบิกด้านพยาบาลยุคใหม่ ผู้นี้ได้รับการขนานนามว่า “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” (Lady of the Lamp) ผลงานที่ดังที่สุดของเธอคือ เธอพร้อมกับคณะนางพยาบาลอาสาสมัครหญิง 38 คน ได้ไปแนวรบ ไครเมีย ประเทศตุรกี เพื่อดูแลพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ
เวลาผ่านไปจนเที่ยงวัน
นางพยาบาลยังไม่เรียกพบหมอ กินข้าวกลางวันเสร็จ มานั่งรอหมอต่อในช่วงบ่าย การรอนานๆตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึง 15.00-16.00 น. คนไข้บางคนจะมีอารมณ์หงุดหงิด คุณยายท่านหนึ่งอายุราว 60 ปีเศษ ดูยังแข็งแรง เปลี่ยนจากท่านั่งเหยียดขาทั้งสองข้าง เป็นนั่งขัดสมาธิบนม้ายาว แล้วเปลี่ยนเป็นท่ามือขวาท้าวคางค้ำศีรษะไว้ เอ่ยกับพยาบาลประจำห้องตรวจข้างหน้า ที่ทำหน้าที่เรียกคนไข้พบหมอ
“ เมื่อใด จะได้ตรวจซักเตื้อ รอตั้งแต่ 7 โมงเจ้า ?”
“ รอสักครู่ คนไข้มันนัก(มาก) ต้องตรวจตามคิวเจ้า.”
“ อย่างนี้ ไปกาดหลวงก่อนท่าจะดีเนาะ ?” คนไข้หญิงสูงวัยกล่าวประชด แกหมุนตัวเปลี่ยนเป็นท่าเหยียดขาทั้งสองข้าง ใครได้ยินเสียงแกพูด ต่างหันไปจ้องคู่สนทนาที่กำลังจะชักธงรบสงครามปาก มันเหมือนพายุอารมณ์ที่พัดมาอย่างอย่างรวดเร็ว ผมเห็นหน้าขาวของนางพยาบาลแดงเรื่อขึ้นทันที เธอนิ่งเหมือนข่มอารมณ์เต็มที่
“ ตามใจแม่เน้อ.”
การสนทนาจบลงอย่างไร้จิตวิญญาณ รอและรอ ไม่มีทางเลือกอื่น
ผมตื่นจากภวังค์
ได้ยินเสียงนางพยาบาลเรียกชื่อ ที่สุดแห่งการรอคอย ผมได้รับการตรวจเวลา 17.00 น.เศษ ม้ายาวตรงกลางห้องว่างโหวงเหวง เหลือคนไข้แค่ 3 คน ผมบอกอาการให้หมอทราบ
“ มีแสงแวบๆคล้ายฟ้าแลบในตาใช่ไหม ?” หมอหนุ่มหน้าตายิ้มแย้มถาม
“ ครับ และยังมีเยื่อบางๆลอยไปมา มัน มันเหมือนตะกอนลอยไปมาในน้ำยั้งงั้นแหละครับหมอ .” ผมรีบอธิบายละล่ำละลัก
“ เอ้า ! หมอตรวจดูก่อนนะ ลืมตาให้กว้าง เงยหน้ามองข้างบนมากๆ เอ่อ ! อย่างนั้น หมอจะป้ายยาที่ตาก่อน เพื่อให้มองเห็นชัด จะวัดความดันลูกตาหน่อยนะ ยาแสบนิดหนึ่ง .”
บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ระยะนี้ผมเป็นทุกข์กังวล เกี่ยวกับการเรียนต่อระดับปริญญาตรีของลูกชาย สถานที่เข้าเรียนเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าเล่าเรียนภาคเรียนละสี่หมื่นบาท ผมจะหาเงินจากที่ไหน ปีหนึ่งเกือบแสนบาท จะกู้เงินเพื่อการศึกษาได้นั้น ผู้ปกครองต้องมีเงินได้ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี รายได้ผมเกินไปเล็กน้อย กลางคืนผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ลูกชายมีอาการหงุดหงิดกลัวไม่ได้เรียน ตัวผมผู้เป็นพ่อยิ่งกังวลใจมากกว่าลูก สุขและทุกข์ของลูก เป็นสุขทุกข์ของพ่อแม่อย่างแท้จริง...
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
อายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มโรยรา โรคต่างๆ ก็วิ่งเข้ามาหา เวียนหัว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดตามส่วนต่างๆ เช่น ข้อมือ ข้อนิ้ว หลัง บั้นเอว ต้นแขน ยามวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว ทานอะไรได้หมด ไม่มีปัญหาเจ็บป่วย ทานอร่อยและทานได้มาก ลองคิดทบทวนย้อนหลัง ด้านการใช้ชีวิตและการปฏิบัติงาน ในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวออกกำลังโดยเล่นกีฬา สู่วัยทำงาน ไม่ได้ออกกำลังกายเลย งดเว้นการวิ่งหรือเดินเสียเฉยๆ ชอบนั่งสังสรรค์ร้องเพลงคาราโอเกะ ด้านการรักษาสุขภาพ เพียงแต่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน ที่น่าอายมากคืออารมณ์ทางเพศลดลงแทบหมด เหมือนน้ำมันแห้งขอดถัง...