Skip to main content

ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติก

เช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน
หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาล

ทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิต

เงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน นั่นรวมถึงความยืดหยุ่นในการวางกรอบคั่นระหว่างความฝันกับความจริงด้วย

หลังความล้มเหลวจากการทำร้านอาหารเมื่อหลายปีก่อน ความโรแมนติกอำลาจากผมไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มานั่งทานข้าวด้วยกัน ไม่มาตอนที่อยากฝันกลางวัน ไม่ปรากฏแม้ในฝันตอนกลางคืน

ตอนนั้นผมได้แต่สงสัยว่า ความจริงของชีวิตไล่มันไป หรือ มันกลายร่างเป็นอย่างอื่นเสียแล้ว...?
อาจจะกลายเป็นไข่ ที่รอวันฟักเป็นตัว
ซึ่งคงไม่ใช่นกสีรุ้ง

ผมไปๆ มาๆ ระหว่าง เพชรบุรี-สุพรรณบุรี-กรุงเทพฯ อยู่หลายรอบ คลำไปในอนาคตมืดๆ หาหนทางสร้างเนื้อสร้างตัวแต่ไม่พบ คำทักของหมอดูที่ว่า “...ตกดวงพระรามเดินดง...”  ผมจำได้ขึ้นใจเพราะไม่รู้เมื่อไรจะได้ออกจากป่าหิมพานต์คืนกลับพระนครเสียที

แม้ว่าที่บ้านของภรรยา จะมีที่ถมแล้วรอให้มาปลูกบ้าน แต่ในเมื่อยังไร้ทุนรอน ผมจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ทางเหนือ เผื่อชีวิตมันจะ“เหนือ” ขึ้นบ้าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความคิดจะกลับไปอยู่ที่นั่น ไม่อยู่ในหัวผมเลย
ผมชอบทั้งภูเขา และทะเล แต่ถ้าให้เลือก ผมเลือกภูเขา
บ้านเช่าที่ลำพูน ไม่เห็นภูเขา แต่ถ้าออกมาห่างจากหมู่บ้านสักหน่อย จะเห็นทิวเขาทางไปอำเภอแม่ทา

ขณะที่ ที่พำนักของผมในเชียงใหม่ มองเห็นภูเขาชัดเจน หน้าร้อน เห็นควันไฟจากป่าตีนเขา ซึ่งบางครั้งก็เห็นเปลวไฟด้วย เวลาที่ฝนตกหนัก ภูเขาหลังม่านน้ำ เปี่ยมด้วยรัศมีพลังชีวิต หลังฝนซา เมฆขาวก้อนใหญ่ลอยเรี่ยอยู่รอบๆ ราวกับมาชุมนุมสังสรรค์ พอตกค่ำ แมลงตัวใหญ่ๆ อย่างผีเสื้อกลางคืนตัวเท่าฝ่ามือ หรือ ตั๊กแตนกิ่งไม้ยาวกว่าคืบ แวะมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ (รวมทั้งตุ๊กแกตัวอ้วนที่วิ่งเร็วจนน่ากลัว)

แน่นอน ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากมีบ้านอยู่ใกล้ภูเขา
แต่ในความเป็นจริง บ้านที่รอวันปลูกของผมอยู่ใกล้ทะเล ที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

จากเชียงใหม่มาเพชรบุรี ระยะทางประมาณพันกิโลเมตร สมัยก่อนไม่ว่าจะรถส่วนตัวหรือรถโดยสาร ก็ต้องวิ่งสายเอเชียผ่านกรุงเทพฯ แล้วเข้าเส้นพระรามสองเพื่อตัดลงใต้ที่ถนนเพชรเกษม

เดี๋ยวนี้มีเส้นทางลัดจากนครสวรรค์ วิ่งสายเอเชียตัด เข้าอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท มุ่งตรงเข้าสุพรรณ จากสุพรรณไปอำเภออู่ทองเข้าเส้นมาลัยแมน ผ่านนครปฐม-ราชบุรี ไปเข้าเส้นเพชรเกษมที่วังมะนาวแล้วเข้าสู่เพชรบุรีตามลำดับ

หลังปรับปรุงถนนสายเอเชียจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ  และเส้นเพชรเกษมจากเพชรบุรีไปหัวหิน ทำให้ถนนสายนี้สะดวกขึ้นมาก ขับเรื่อยๆ สบายๆ ก็ราว 12 ชั่วโมง

รถทัวร์สายเชียงใหม่-หัวหิน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างถูกจังหวะ
ผมคงจะจำรถทัวร์สายนี้ตลอดไป เพราะเมื่อครั้งที่เปิดบริการใหม่ๆ รถทัวร์เที่ยวกลางวัน(ไปเช้าถึงค่ำ)เที่ยวแรก มีผมเป็นผู้โดยสารคนแรกและคนเดียว จนกระทั่งถึงนครสวรรค์ ถนนเพชรเกษมขยายกว้างขึ้น การคมนาคมสะดวกขึ้น แต่บางสิ่งหายไป

เมื่อก่อนนี้ หากออกจากอำเภอท่ายางมุ่งตรงไปอำเภอชะอำ จะต้องผ่าน “สี่แยกเขื่อน” ที่แยกนี้ถ้าเลี้ยวขวาจะไปเขื่อนแก่งกระจาน แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายจะสิ้นสุดที่ทะเล-หาดปึกเตียน เมื่อก่อนที่นี่เป็นสี่แยกไฟแดงที่รถโดยสารทุกคันต้องจอดเพื่อรับส่งคน ทว่าปัจจุบัน การขยายถนนเพชรเกษมได้สร้างสะพานข้ามแยก ทำให้รถโดยสารวิ่งใหม่ๆ บางคัน ไม่รู้จักแยกนี้เสียแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน แยกเขื่อนคงหายไปจากการรับรู้ของคนรุ่นหลัง

จากแยกเขื่อน เลี้ยวซ้ายเลียบคลองชลประทานมุ่งตรงสู่ทะเล สองข้างทางเป็นท้องนาและสวนผัก ที่บ้านรอปลูกของผมอยู่ห่างออกไปประมาณหกกิโลเมตร

ที่สามงานติดถนนถมดินแล้ว นอนรอวันกลายร่างเป็นบ้าน เวลาที่ยืนมองมัน ผมทั้งภูมิใจ ทั้งวาดหวัง ทั้งหวาดหวั่น ทั้งรอคอย

ผ่านไปสามปี ดินที่ถมแน่นขึ้นมาก ตะไคร้ มะนาว พริก กล้วย ที่คุณยายของภรรยาปลูกทิ้งไว้ขึ้นงามดีเหลือเกิน  ทว่า เสาบ้านต้นแรกจะขึ้นเมื่อไร คงมีแต่เทวดาเท่านั้นที่รู้
“...จะเป็นนักเขียน อย่าหวังรวย ถ้าอยากรวยไปทำอย่างอื่น อาว์เขียนจนสี่สิบกว่าจะได้มีบ้านหลังนี้...”
ท่านผู้นั้นเคยบอกผมไว้ แต่ผมก็ยังหวังว่า ผมคงจะมีบ้านก่อนอายุสี่สิบ

หลายปีมานี้ ชีวิตผมผกผันน้อยลงไปมาก แม้ยังลุ่มๆ ดอนๆ ไส้แห้งบ้าง ไส้เปียกบ้าง ตามประสา แต่ก็ไม่ถึงกับยากแค้นแสนเข็ญ จะว่าไป หลายอย่างก็เริ่มลงตัว แม้ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม

วันหนึ่ง แม่ยายยื่นข้อเสนอให้กลับมาอยู่บ้าน เพราะแกทำบ้านใหม่จากบ้านไม้ยกพื้นสูง ก็เทพื้น ทำห้องครัว ทำห้องนอนไว้ให้ ประกอบกับภรรยาผมก็เป็นห่วงแกที่ต้องอยู่คนเดียว
“...ดีสิวะ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เศรษฐกิจอย่างนี้ กลับไปหาฐานที่มั่น ชัวร์กว่า...” ที่ปรึกษาเจ้าประจำของผมสนับสนุนความคิดเต็มที่

คิดสะระตะคำนวณดูแล้ว ก็เข้าทีดีเหมือนกัน แม้จะไม่สะดวกสบายเท่าเชียงใหม่ แต่ก็ประหยัดกว่ามาก ที่สำคัญ คนแถวนั้น มีสีสัน colorful อย่างหาที่ใดเสมอเหมือน

อยากรู้ว่าคนเพชรบุรีเป็นอย่างไร ก็ลองหาเรื่องสั้นชุด “ผู้เฒ่า” ของมนัส จรรยงค์ มาอ่านดู
คือคนดีๆ ก็มีไม่น้อย แต่คนกิเลสหนามักจะเป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการเขียน

การย้ายบ้านครั้งสุดท้ายของผมเตรียมตัวประมาณหนึ่งสัปดาห์ ใช้บริการรถตู้ถอดเบาะนั่งออก ซึ่งขนของได้มากกว่ารถกระบะ คนขับเป็นคุณลุงคนชัยภูมิที่มาอยู่เชียงใหม่สี่สิบกว่าปี อู้คำเมืองเนียนจนจับไม่ได้ แกขออนุญาตพาเพื่อนวัยเดียวกันไปด้วยคนหนึ่ง เพื่อจะได้ผลัดกันขับ
“ทางมันยาว...ผลัดกันขับไป ทะเลาะกันไป จะได้ไม่ง่วง” แกว่างั้น

พอรถออก ผมเห็นจริงอย่างที่แกว่า เพราะคุณลุงสองคน ขับรถกันคนละแบบ นิสัยไปกันคนละทาง ลุงเจ้าของรถเป็นคนใจเย็น ขับไปช้าๆ แบบเก้าสิบถึงร้อย แต่เพื่อนแกใจร้อน บอกให้แซงแล้วไม่ยอมแซงก็บ่น ทะเลาะกันแบบขำๆ ไปตลอดทาง พอเพื่อนแกได้โอกาสขับ ก็เหยียบไปร้อยยี่สิบร้อยสามสิบ จนเจ้าของรถโวยวายลั่น

แต่แม้จะตีนหนัก แกก็มีอารมณ์ขันแบบหน้าตาย
“เราไปทางเมียวดีก็ได้นะ” แกแนะนำผม เมื่อรถผ่านสี่แยกที่บอกทางไปพม่า
“ไปเมียวดี...ไปทำไมครับ?” ผมพาซื่อ
“ก็ทะลุเข้าพม่าไง ไปดูเขายิงกันก่อน ค่อยทะลุกลับมา” แกพูดหน้าตาเฉย

ออกจากเชียงใหม่เก้าโมงเช้า ถึงเพชรบุรีสามทุ่มกว่า กว่าจะจัดของเสร็จ กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะเข้านอนก็เกือบเที่ยงคืน
ผมยังไม่ได้เห็นทะเล
แต่คิดถึงภูเขาเสียแล้ว

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…