แพร จารุ
ฉันเชื่อว่า หากคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทุกอย่างก็จะดีได้ไปกว่าครึ่ง
บางคนบอกว่า ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เช่น เรื่องทัศนคติที่มีต่อคนอื่น และตัดสินอย่างช้า ๆ
สามีของฉันบอกว่า จงรวดเร็วในการฟัง แต่จงเชื่องช้าในการตอบ คือให้ความสำคัญในการฟังมากๆ ก่อนจะตอบจึงจะดี จริงของเขาเพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนพูดและพูด แต่ไม่ค่อยฟังคนอื่น
ฉันเอาเรื่องนี้มาเขียนเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากไปสังเกตการณ์เขาพูดคุยทบทวนประสบการณ์การทำงานกันของโครงการ (CHAMPION/MSM) และสมาคมฟ้าสีรุ้ง
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง"ไปตายให้หนอนแดกเถอะ..ไป๊"ผมกำลังหาคำพูดที่ถ่ายทอดความคิดของคนบางคนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ แม้อำนาจของเขาจะยึดโยงจากการเลือกตั้งด้วยการกากบาทของเรา กระนั้นก็เถอะ..เท่าที่รู้สึกได้ เขาอาจกำลังอยากบอกกับคุณด้วยถ้อยคำแบบนี้ อาจเป็นการบอกกล่าวที่ซ่อนถ้อยความหิวกระหายมาช้านานแล้ว ตั้งแต่อำนาจถูกกระชากไปจากมือ และที่เขาบอกแบบนี้ได้ อาจเป็นเพราะเขากำลังมองคุณเป็นเพียง ‘มดปลวก' อันอ่อนแอ ไม่มีประโยชน์โดยเฉพาะถ้าคุณป่วยหรือไม่สบาย มันจะยิ่งสะท้อนความอ่อนแอไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มากไปกว่านั้น หากโชคร้าย อาการป่วยขยายตัวไปสู่ความเรื้อรังจนไม่มีทางรักษาให้หายขาดหรืออาจต้องใช้ค่ารักษาที่แพงแสนแพง คนพวกนี้อาจมองชีวิตของคุณเป็น ‘ความไร้ค่า' ไปเลย หากโลกนี้ใช้เฉพาะความคิดด้วยตรรกะและสมองอันชาญฉลาดทางทุนนิยมแล้ว คนป่วยเรื้อรังก็คือผู้สร้างรายจ่ายมากมายมหาศาล แต่ไม่ได้สร้างรายได้อะไรคืนกลับเลยสำหรับคนที่ ‘ป่วยเรื้อรัง' แล้ว ชีวิตที่เหลือจะได้ถูกสังคมแบบนี้ ‘ตีตรา' ว่าคงทำได้แค่การนอนซมอยู่เตียง หรืออย่างมากก็เดินกระโดกกระเดกไปมาได้สัก 2-3 เมตร พูดง่ายๆ คือชีวิตก็แค่หายใจทิ้งไปวันๆ ดังนั้น ในโลกแบบนี้อาจมีคำตอบแบบหนึ่งไว้แล้ว การอยู่ไปโดยไม่นำเงินเข้ามา พวกนักสิทธิมนุษยชนหรือพวกองค์กรพัฒนาเอกชนจะไปเรียกร้องให้ดูแลทำไม ที่มาบอกให้ทำ ‘ซีแอล' (สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือ Compulsory Licensing) เพื่อให้ยามีราคาถูกลง แล้วเม็ดเงินการลงทุนหลายๆ ล้านของบรรษัทยาที่จะเข้ามาในประเทศล่ะ มันจะหายไป คิดบ้างหรือไม่ ?? แน่นอน ประเทศไทยในระบบการเลือกตั้งคือรัฐที่ฉลาดและคิดได้ถึงเงื่อนไขในโลกแบบนี้ งานสำคัญในวันแรกของรัฐบาลใหม่ที่มี ‘ไชยา สะสมทรัพย์' นั่งบัลลังก์รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขจึงหนีไม่พ้นเรื่องทบทวนการทำซีแอลนั่นเอง ถ้าสำเร็จทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปตามกลไกทางตลาด เรื่องจริงที่มองข้ามไม่ได้ การทำซีแอลอาจเป็นเรื่องที่ต้องมองกันในหลายมิติ การทบทวนอาจเป็นเรื่องที่ดีและมีประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอย่างจริงจังจากหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีและลงตัว แต่สิ่งที่สะท้อนแนวโน้มว่ามันคงไม่เป็นไปอย่างนั้นหรอก การพูดคุยกันด้วย ‘เหตุผล' คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ บนทัศนคติที่ค่อนข้างลบมาตั้งแต่ต้น เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ปากของคนบางคนอาจจะพูดส่งเดชไปได้ด้วยความคะนองปากว่าถ้าเป็นหนักเรื้อรังแบบนี้ก็ "น่าจะตายเสียดีกว่า" แต่ถ้าเป็นปากของคนระดับรัฐมนตรีล่ะ..ผลที่ตามมามันต่างกันมากมายอย่างไรก็ตาม ภายใน 2 วัน ของการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ มีคำพูดที่หลุดปากพูดในลักษณะคล้ายกันหรือสื่อความไปในทางนั้นจากผู้ใหญ่ระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทั้งสื่อและภาคประชาชนที่เข้าไปติดตามและท้วงติงการทบทวนการทำซีแอลต่างนำความที่ได้ยินออกมาพูดกันให้ทั่วประมาณว่า "ถ้าข้อมูลยอดคนเป็นมะเร็งที่มีในประเทศมีเป็นแสนคนจริง แต่เขาได้รับข้อมูลมาเพียงหลักหมื่น ก็ให้ตายเสีย แล้วยอดมะเร็งนับแสนคงจะลดเหลือเพียงหมื่นสองหมื่นคน"เมื่อเขาว่าอย่างนั้น สำหรับประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ฟังแล้ว ใจอ่อน เข่าระทวยและหวิววาบๆ..สุดท้ายแล้วไอ้ประเด็นที่เขาบอกว่าจะทบทวนซีแอลเพื่อให้นโยบายในอนาคตเดินต่อไปได้นั้น เขากำลังทำกันอยู่บนฐานคิดและทัศนคติแบบใดกันแน่หรือมันอาจจะหมายความไปได้ว่า รัฐเราจะใจดีถ้าคุณ ‘มีเงิน' พอ ใครมีเงินก็จ่ายค่ายืดชีวิตมาจะอะลุ้มอล่วยต่อชีวิตให้ แต่ถ้าไม่มีจ่าย ยอดคนป่วยจะลดลงไปเองตามอัตรการตาย ค่าเผาผีโรยดอกไม้จันทน์ มันไม่แพงหรอกถ้าเทียบแล้วกับค่ายาราคาแพงที่จะไปเรียกร้องให้รัฐดูแล! นอกจากนี้ อีกหลายหูยังได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่ในกระทรวงท่านเดิมพูดถึงยาต้านไวรัสของผู้ติดเชื้อว่า ถ้าไม่มีกินก็ให้กินดอกไม้จันทน์แทน..สาธุเถอะ! แล้วแบบนี้จะฝากผีฝากไข้กันได้ไหม หลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรและผลกระทบจะมีหรือไม่ยังไม่รู้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อนประชาชนอย่างเราคงต้องบอกตัวเองว่า ‘ห้ามป่วย !' เพราะเดี๋ยวจะต้องตายให้กลายเป็นอาหารของหนอนอย่างว้าเหว่ ผู้ใหญ่ระดับคุมนโยบายในกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดูเหมือนจะมีแนวคิดและแนวทางที่จะใส่ใจคุณน้อยลงแล้ว และชีวิตคุณอาจต้องถูกนำไปคำนวนด้วยตัวเลข แต่หากคุณ ผม หรือเราทุกคน ถ้าป่วยแล้วจะกลายเป็นคนอ่อนแอและไร้ค่าจริงหรือ สำหรับผมยังมีคำถามในใจ ? ในขณะที่คุณกำลังยืนเหม่อ อาจถูกรถเมล์แหกโค้งมาชนจนตายโหงไปก่อนป่วยตายก็ได้ แต่ในรอบลมหายใจเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีบางคนกลับดำเนินชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป มีลูกมีหลาน มีครอบครัว และดูแลกันและกันได้ยาต้านไวรัสที่ราคาแสนแพง สำหรับผู้ติดเชื้อคือ ‘ความหวัง' ที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น ทุกวันนี้คนแข็งแรงแต่ติดเชื้ออย่าง ‘เมจิก จอห์นสัน' ยังคงมีมากมาย‘เมจิก จอห์นสัน' เป็นนักบาสเก็ตบอลระดับเทพของเอ็นบีเอจนได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 50 ผู้เล่นยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์บาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ เขาประกาศตัวเองว่าได้รับเชื้อเอชไอวีในปี 2534 หรือประมาณ 18 ปีมาแล้ว และเคยหวนกลับคืนสู่วงการบาสเก็ตบอลได้อย่างแข็งแกร่งด้วยกำลังใจที่ดีเยี่ยม ในปี 2545 เขาสามารถร่วมทีมบาสเก็ตบอลสหรัฐเพื่อแข่งขันโอลิมปิกในนาม ‘ดรีมทีม' ได้อย่างเป็นที่ประทับใจจนกลายเป็นตำนานร่วมกับ ‘ไมเคิล จอร์แดน' ในปี 2547 เขาร่วมกับ ‘เหยาหมิง' นักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอรุ่นใหม่ขวัญใจชาวจีน เล่นบาสเก็ตบอลกัน กอดกัน และรับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อรณรงค์ให้ความรู้เรื่องเอชไอวีแก่คนจีน ขณะนั้นเขาได้รับเชื้อมาหลายปีแล้ว ปัจจุบันเขาก่อตั้งมูลนิธิเมจิกจอห์นสัน และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งถ้าคิดเพียงในช่วงเวลา 10 ปี สำหรับคุณหรือผม คนรอบข้างอาจจะตายไปด้วยโรคเฉียบพลันอะไรสักอย่างไปหลายคนแล้ว หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางคน แม้จะนอนอยู่บนเตียง แต่สำหรับคนข้างหลัง การต่อสู้กับโรคด้วยความอดทนเข้มแข็งคือความแข็งแกร่งที่ถ่ายทอดไปสู่คนรอบข้างให้กล้าที่จะเดินและเผชิญเรื่องราวอันโหดร้าย เช่น การมีรัฐมนตรีเฮงซวยปากไม่ดีได้อย่างเชื่อมั่น ขณะเดียวกัน การที่เขายังมีลมหายใจยังหมายถึงความไม่อ้างว้างของการที่ยังมองเห็นกันและกันและสามารถห่วงใยกันได้มองแบบนี้แล้ว หรือความหมายของคำว่าชีวิตสำหรับผู้บริหารประเทศที่มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบายและเกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของเราทุกคนกลับทำให้ความรู้สึกอ้างว้าง มืดทะมึนและไร้ความหวังได้ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ดูเหมือนว่าชีวิตที่กำหนดค่าด้วยเงินดูจะมีความหมายกว่าชีวิตที่มีลมหายใจเสียอีกคนเราถ้าคิดได้เพียงว่าไม่มียาก็ให้กินดอกไม้จันทน์แทน บางทีคนแบบนั้นต่างหากที่มันก็น่าจะไปตายให้หนอนแดกซะเดี๋ยวนี้เลย !