พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
๑.การเมืองของนักเลือกตั้งเร่าร้อนยิ่งขึ้นทุกขณะการแถลงข่าวของบุคคล กลุ่ม ก๊วน และพรรค ตลอดจน "อนาคตพรรคการเมือง"มีขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับตลาดนัดในอดีต ที่มีทั้งปาหี่ คนเล่นกล พ่อค้าเร่และแม่ค้า "เจ้าประจำ" คุ้นหน้าสถานที่พบปะระหว่าง "ผู้ซื้อ" กับ "ผู้ขาย" นั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า "ตลาด" โดยมี "สินค้า" เป็นสื่อกลาง แลกเปลี่ยนความพึงใจระหว่างกัน...ในที่ชุมนุมเช่นนี้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "คุณค่า" และ "มูลค่า"นอกจากจะมี "ความจริง" เป็นเครื่องเทียบเคียงแล้วดูเหมือนว่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อยสำหรับการตัดสิน หรือชี้วัดความพึงใจตลาดโดยทั่วไปมักเปิดเป็นประจำ และสม่ำเสมอน่าเสียดายที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย"ตลาดการเมือง" หรือ "ตลาดซื้อขาย ส.ส." จึงเปิดบ้างปิดบ้างอย่างกะปริบกะปรอย ไม่คงเส้นคงวาเป็นวาระคำว่า "ตลาดการเมือง" อาจฟังดูแสลงหูอยู่บ้างสำหรับผู้เกี่ยวข้อง และคิดเอาว่า "ตลาด" เป็นของต่ำรวมทั้ง การนับเอา "นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ" ให้เป็นเพียง "สินค้า"เช่นเดียวกับพริก หอม กระเทียม เนื้อหมู เนื้อวัว และเป็ดไก่ใน ตลาดนัด - ตลาดสด แต่... ว่าก็ว่าเถอะ เรายังมีนักการเมืองที่สูงเกียรติ ด้วยคุณธรรมจริยธรรมหรือด้วย อุดมคติ-อุดมการณ์สูงส่ง อยู่อีกล่ะหรือ?ใครลองหลับตา แล้วนึกย้อน ครุ่นคิด-ใคร่ครวญ ด้วยใจที่เป็นธรรมดูสักหน่อยเถิดว่า... ประสาคนอ่านหนังสือพิมพ์ กินข้าวแกง นั่งรถเมล์ ดูฟรีทีวี ฯลฯอย่างที่เป็นๆ กันอยู่ทั่วไปนี้เรามีรายชื่อ "นักการเมืองในฝัน" มี "นักการเมืองในอุดมคติ" แห่งยุคสมัย ถึง ๑๐ รายชื่อหรือไม่?รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดจำนวน ส.ส. ไว้ ๔๘๐ ท่านเชียวนะแค่หาทำยาสัก ๑๐ - ๒๐ คน ก็ยังหาไม่ได้เอาเลยเชียวหรือ?๒.ในแวดวงการเมืองนั้น "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" เป็นเรื่องใหญ่จะเป็น "ทางตรง" หรือ "ทางอ้อม" ของ "ตัวเอง" หรือ "พวกพ้อง" หรือเพื่อ "มหาประชาราษฎร์" ก็คงยากที่จะไปกะเกณฑ์จำกัดความแต่ที่แน่ๆ ก็คือ "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" นี่เองที่เป็นตัวเลือกสรรค์คัดกรอง "นักการเมือง" ยุคปัจจุบันในเบื้องต้นหาใช่ "กรรมการคัดตัวผู้สมัคร" หรือ "ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง" ไม่...ด้วยว่า หากใครสักคนมีมโนธรรมสำนึก และตรึกตรองโดย ทางธรรม/ทางโลกย์ ได้แจ่มชัดพอสมควรแล้วโดยสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ "ใครคนนั้น" จะหาญกล้าเข้าไปเกลือกกลั้วกับปลักตมที่เห็นอยู่ตรงหน้าอันมีพร้อมทั้งกับดักและขวากหนาม ฯลฯ อยู่ละหรือ?ต่อให้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่เต็มเปี่ยมก็เถอะ..."อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้" โบราณมีสอนมีเตือนไว้แล้วทั้งนั้นพอเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะหา "ตัวแทนประชาชน" เข้าไปทำหน้าที่ "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" กันโดยวิธีใด?และถ้าตัวแทนในระบบเลือกตั้งมันเลวแล้วเราจะหาตัวแทนโดยธรรมชาติ หรือตัวแทนโดยตรงจากที่ไหน?โจทย์เหล่านี้เป็นเรื่องยาก และนักเลือกตั้งก็รู้ดีสามารถนำมาใช้ประโยชน์ นำมาทำมาหากินอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงไม่มีใคร "ปฏิรูปการเมือง" ให้ตรงเป้าอย่างพร้อมที่จะทำลายหม้อข้าวตัวเองเพื่อเติมเต็มหม้อข้าวของประชาชนได้แต่อาศัยช่องว่างช่องโหว่แก้ปัญหาหิวโซตามใจกิเลสไปวันๆ๓.ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษธานีเทศนาชี้แนะเกี่ยวกับ "ธรรมะกับการเมือง" เอาไว้หลายแง่มุมทั้งกว้างขวางและลึกซึ้ง ด้วยหลักการอันเป็นอกาลิโกแต่น่าเสียดาย ที่ดูเหมือนกับว่าแม้ศิษยานุศิษย์ของท่านเอง โดยเฉพาะวงในใกล้ชิดก็ไม่ค่อยจะเอาด้วย หรือเห็นด้วย กับท่านนักหลังจากท่านละสังขารไปใน พ.ศ.๒๕๓๖"ท่านอาจารย์" ของใครต่อใคร จึงกลายเป็นโน่นนี่ ไปหลายต่อหลายอย่างยกเว้นองค์คุณเกี่ยวกับการประยุกต์ธรรม เพื่อนำมาใช้ได้ในชีวิตจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน "ระดับโครงสร้าง" หรือ "ระดับอำนาจรัฐ" อันเนื่องอยู่ด้วยสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตลอดจนวัฒนธรรมที่มีหลักพุทธธรรม หรือศาสนธรรมเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นต้นเงื่อนซึ่งนักคิดฝ่ายพุทธเถรวาทน้อยคนนัก จะจับประเด็นได้ลึก และแหลมคมดังที่ "พุทธทาสภิกขุ" ชี้ชวนและนำทางไว้...มัวทำตัวเป็นไก่ได้พลอย สุนัขได้ปลากระป๋องจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรม และความสูญเสีย ไปอย่างสูญเปล่าทำนองว่าคนดีไม่ได้เครื่องมือ ไม่มีธรรมะใช้ปล่อยคนร้ายอ้างผิดๆ ถูกๆ หากินกับ "ท่านอาจารย์"ตั้งแต่อดีตนายกฯ ยันเอ็นจีโอใหญ่ๆ และนักวิชาการมากอัตตาตลอดจนปัญญาชนหน้าไหว้หลังหลอก พระเณรเถรชี มากรูปหลายนาม...จับพลัดจับผลู "ธรรมะ" จึงกลายเป็นเครื่องมือของ "ทุนนิยม" ไปเสียเองด้วยว่า เหลือเพียงแง่มุมระดับปัจเจก และ "ส่งเสริมการหลุดพ้นส่วนตัว"เสียเป็นด้านหลัก หลงลืมการสร้างเหตุปัจจัย และการบำเพ็ญเพียรเพื่อเสริมบารมีอย่างชนิดที่หนุนช่วย และนำพากันไปนิพพาน ตามหลัก "อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท" อันเป็นแก่นแกนมาแต่เดิมทันทีที่ธรรมะถูกใช้ให้ทำหน้าที่สร้างและพัฒนาปัจเจกบุคคลทุนนิยม-บริโภคนิยม ก็หัวร่อร่าค่าที่ช่วยผลิต "นักบริโภคคุณภาพสูง" ให้กับตลาดโดยบริษัทบรรษัท ข้ามชาติ-ในชาติ เหล่านั้นไม่ต้องลงทุนลงแรงหรือสิ้นเปลืองต้นทุน วัตถุดิบ และพลังงานแต่อย่างใดเมื่อเป็นกันอย่างนี้ "นักเลือกตั้ง-นักกินเมือง" ทุศีลจึงพากันอาศัยบางหัวข้อธรรม อาศัยการสละทรัพย์ซื้อเสียงซื้อศรัทธา "สมาชิกวัด"ด้วยการทุ่มทุนสร้างกุฏิริฐาน สร้างซุ้มประตูสร้างรั้ววัดไต่บันไดโบสถ์ บันไดเมรุ เข้าสภาฯ มีเจ้าอาวาสเป็นหัวคะแนนทางอ้อม ฯลฯ กันอยู่เนืองๆ เป็นอันว่า "ธรรมะกับการเมือง" หลงเหลือเพียงเท่่านั้นและมหาเถรสมาคม หรือภาครัฐ โดยสำนักงานพุทธฯ ก็ดูจะพอใจที่พระ วัด และหลักธรรม(บางข้อ) เคาะประตูการเมืองได้เพียงที่กล่าวมาแล้ว๔.ผู้เขียนเองเคยรับนิมนต์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปร่วมการเสวนาระหว่างศาสนา ว่าด้วย "จริยธรรมของผู้นำ(ทางการเมือง)"เมื่อครั้งที่ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จัดเวทีอยู่ที่ใกล้สะพานมัฆวาฬ คราวขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรคืนนั้นกล่าวกันถึงตัวผู้นำรัฐและนโยบายของเขา ด้วยมุมมองของชาวพุทธ คริสต์ และอิสลามโดยมีพระภิกษุ บาทหลวง และนักวิชาการมุสลิม ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะผู้ฟังหน้าเวที และผู้ชมผ่านระบบการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ มีท่าทีการตอบรับที่น่าสนใจหากวันรุ่งขึ้นอธิบดีกรมศาสนากลับออกมาแสดงท่าทีที่น่าสนใจยิ่งกว่ากล่าวคือ ท่านอธิบดีได้แถลงข่าวอย่างฮึกเหิมมุ่งมั่นว่าการที่พระไปร่วมกิจกรรมเช่นนั้นหากมิใช่ถูกหลอก และไปอย่างรับรู้ก่อน ว่าจะมีกิจกรรมเช่นไรถือเป็นความผิดทางวินัยสงฆ์ขั้นร้ายแรง ถึงขั้นต้องบังคับให้สึกหาลาเพศว่ากันถึงขนาดนั้น...โดยไม่ดูดำดูดีกับวินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ตามธรรมวินัยเอาเลยโชคยังดี ที่เมื่อนักข่าวนำความที่ว่าไปสอบถามกรรมการมหาเถรสมาคมท่านหนึ่งพระมหาเถระท่านนั้นได้มีเมตตา ตอบนักข่าวไปว่าฝ่ายสงฆ์มีสายงานปกครองดูแลอยู่แล้ว หากมีความผิดจริงคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะตำบล คงดำเนินการไปตามลำดับชั้นปกติและโดยส่วนตัว ท่านไม่เห็นว่าการแสดงทัศนะดังกล่าวจะสลักสำคัญอะไรนักเพราะผู้แสดงความคิดเห็นเป็นเพียงพระเล็กพระน้อย ไม่ได้มีชื่อเสียงสมณศักดิ์ที่พอจะมีอำนาจชี้นำสังคม...ผู้เขียนเองได้ทราบข่าวเรื่องนั้นผ่านสื่อจึงมีโอกาสไปค้นคว้าในเว็บไซต์ของกรมศาสนาแล้วพบว่า อันที่จริง เวทีเสวนาดังกล่าว น่าจะจัดโดยกรมการศาสนาเองเสียด้วยซ้ำเพราะกิจกรรมที่มีเนื้อหาดังกล่าวระบุอยู่ในนโยบายและเป้าหมายหลักของกรมศาสนาเองโดยตรงนับแต่ย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(เดิมกรมศาสนาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ)พร้อมๆ กับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี)อันรับผิดชอบเกี่ยวกับแวดวงพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งปวงภารกิจหลักของกรมศาสนา ตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ของหน่วยงานแห่งนั้นคือการสร้างความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนารวมทั้งการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังคม เป็นด้านหลักเมื่อสื่อมวลชนสอบถามมาที่ผู้เขียน ว่าคิดเห็นเช่นไรก็ได้แต่ตอบไปว่า ท่านอธิบดีกรมการศาสนา คงต้องการเอาใจนายกฯ ทักษิณซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงรีบเร่งออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าจะตอบคำถามโดยข้อเท็จจริง หรือโดยหลักการที่ควรจะเป็นเพราะสิ่งที่ท่านตอบนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ ที่จะบังคับสั่งการนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ กรณีหนึ่ง ซึ่งสะท้อนภาพความสับสนในบทบาทหน้าที่หรือสะท้อนความบกพร่องหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจน ความไม่รู้จริง และ/หรือ ไม่รู้ในเรื่องที่ควรรู้ ของรัฐ ของคนของรัฐ หรือของผู้อยู่ในอำนาจรัฐ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพุทธบริษัทอันมีสาเหตุมาจากความอ่อนด้อย ในการเข้าใจธรรมะโดยมิพักจะต้องกล่าวถึงการประยุกต์ใช้ธรรมะ หรือการนำหลักพุทธรรม หลักศาสนธรรม มาใช้ในระดับโครงสร้างของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนวัฒนธรรม ในแง่ของวิถีชีวิตของผู้คน๕.กล่าวเฉพาะใน "ตลาดนัดการเมือง" ที่กำลังตะโกนขายสินค้ากำลังประแป้งแต่งหน้าพ่อค้าแม่ขาย หรือที่กำลังตกแต่งหน้าแผง หน้าร้านกันอยู่นี้กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง หรือวันตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้บริโภคเราคงได้ยินได้ฟังได้ดู การประชาสัมพันธ์ กันอีกหลายรูปแบบทั้ง สรรพคุณของสินค้า สรรพคุณของคนขาย และสรรพคุณของร้านค้า ตลอดจนโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ฯลฯ ก็น่าสนใจ ว่าอะไรจะเป็นที่มา ของการตัดสินใจสุดท้าย ของผู้บริโภคเพราะนั่นจะเป็นคำตอบ หรือภาพสะท้อน "ตลาดนัดการเมือง" ของประเทศนี้ว่ามีคุณภาพแค่ไหน และเพียงใด?ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการก่อรัฐประหารของคนกลุ่มหนึ่งเราพากันวิพากษ์วิจารณ์สภาพการณ์ทางคุณธรรมและจริยธรรมของอดีตผู้นำและรัฐบาลภายใต้การกำกับของเขาอย่างหนักหน่วงจนเป็นเหตุให้บางคนบางกลุ่มนำเงื่อนไขนี้เข้าช่วงชิงล้มล้างอำนาจรัฐเดิมด้วยข้อเสนอ และข้ออ้าง ว่าจะสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาพร้อมๆ ไปกับการปัดกวาดเช็ดถูปฏิกูล ที่อดีตรัฐบาลและพวกพ้องทำเรี่ยราดไว้นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ ว่าหากกล่าวโดยเวลากันแล้ววันคืนที่ผ่านมา มีอาจมใดๆ ของคุณทักษิณที่ถูกเช็ดล้างออกไปได้บ้างหรือว่า การที่เราได้กลิ่นเน่าเหม็นของรัฐบาลไทยรักไทยน้อยลงจะเป็นเพียงเพราะปฏิกูลกลุ่มใหม่ถ่ายของเสียชนิดใหม่กลบทับเอาไว้แทนที่หรือจะเป็นว่า พออยู่ร่วมกับของเหม็นหลายชนิดเข้าเราทั้งหลายก็เริ่มคุ้นชินกันไปเอง...ซึ่งถ้าเป็นไปอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าเราคุ้นเคยกับความเน่าเหม็น จนไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยินดียินร้าย กันสักเท่าไรก็อย่าได้แปลกใจกันเลย ว่าทำไมพ่อค้าแม่ขายในตลาดการเมืองไม่ว่าร้านใดๆ แผงใดๆ จะมิได้ส่งเสียง หรือส่งสัญญาณ ด้าน "คุณธรรม-จริยธรรม" ออกมาให้ฝ่ายศาสนาชื่นอกชื่นใจกันบ้างเลยดูเหมือนว่า เราใช้ศาสตราด้านความดีงาม ความถูกต้องเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ดับดิ้น ให้พ้นไปจากเวที ที่เราอยากจะเข้าไปร่วมด้วยเท่านั้นโดยมิได้ปรารถนาจะใช้เครื่องมือทางศาสนามาแก้ปัญหาอย่างถาวรหรือยั่งยืนแต่ประการใด"ตลาด" ต่างๆ พากันโตขึ้น"พื้นที่ทางศาสนธรรม" หรือ "พื้นที่แห่งความดีงามก็เล็กลงไปทุกทีดูเหมือนกับว่า พวกเราต่างก็รับรู้แต่ไม่มีใครยอมเจ็บปวด เพื่อจะสวนกระแส และก้าวไปสู่สิ่งสูงกว่าอีกต่อไปแล้ว...