Skip to main content
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
Rape is the only crime in which the victim becomes the accused.Freda Adler* และแล้วในที่สุด บรรดานักศึกษากฎหมายก็ได้โอกาสทำหน้าที่เป็นลูกขุนกับเขาบ้าง ในวันปฐมนิเทศ โรงเรียนได้จัดให้มีศาลจำลองเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจกระบวนการพิจารณาคดีในศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของลูกขุน โดยมีตัวแทนนักศึกษารุ่นก่อนสวมบทบาทเป็นโจทก์ จำเลย ทนายโจทก์ และทนายจำเลย และผู้พิพากษาส่วนลูกขุนที่เข้าร่วมฟังการพิจารณา ก็คือบรรดานักศึกษาปริญญาโททั้งหลายนั่นเองปรากฏว่าเมื่อลองนับจำนวนลูกขุนในคดีนี้ดูแล้ว มีจำนวนเกือบสองร้อยกว่าคน มากกว่าลูกขุนที่นั่งพิจารณาคดีในศาลจริงๆ ถึง 20 เท่าเลยทีเดียวคดีที่เข้าร่วมฟังการพิจารณาวันนี้เป็นคดีข่มขืนค่ะ แต่จะไม่ขอเล่าถึงขั้นตอนสืบพยาน (ซึ่งบอกได้เลยว่าฮากลิ้งห้องประชุมแทบแตก) แต่จะเล่าข้อเท็จจริงในคดีที่ได้รับฟังจากการสืบพยานให้ทราบโดยสรุปเลยแล้วกันนะคะข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ฝ่ายผู้เสียหายคือ นางสาวเอ (นามสมมติ) สาวผิวสี หน้าตาสวยคมขำ รูปร่างดี โสด อายุ 28 ปี มีอาชีพหลักเป็นพนักงานเก็บเงินในซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนอาชีพเสริมคือหมอนวดแผนโบราณ รับจ้างนวดตามบ้าน ขณะเกิดเหตุ นางสาวเอเพิ่งเริ่มทำอาชีพนี้ได้เพียงปีกว่าๆ รายได้ไม่แน่นอน อยู่ระหว่างการหาลูกค้า ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ เธอจึงได้ทำนามบัตร ติดรูปตัวเองอย่างสวยงามเพื่อเชิญชวนลูกค้า โดยระบุหมายเลขโทรศัพท์สำหรับเรียกใช้บริการไว้ด้วยส่วนจำเลย นายบี หนุ่มผิวขาว โสด หน้าตาดี(มาก) อายุ 35 ปี เป็นพนักงานธนาคารในละแวกซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นางสาวเอทำงานอยู่ แต่ไม่เคยเห็นนางสาวเอ และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จำเลยทราบจากนามบัตรที่นางสาวเอให้ไว้ขณะมาเปิดบัญชีที่ธนาคารว่า นางสาวเอมีอาชีพเสริมเป็นหมอนวดแผนโบราณ โดยนายบีได้รับนามบัตรตั้งแต่วันแรกที่นางสาวเอมาขอเปิดบัญชี แต่ผ่านไปเกือบครึ่งปี นายบีไม่เคย(แม้แต่คิด)จะโทรไปขอใช้บริการเลย (เนื่องจากนายบีบอกว่าแฟนสาวของตนดุมาก ถ้ารู้ว่าโทรไปให้หมอสาวๆ มานวดให้ถึงบ้าน ต้องถึงขั้นเลือดตกยางออกแน่ และตัวเขาเองคงจะได้เป็นผู้เสียหาย ใม่ใช่ตกที่นั่งจำเลยอย่างในคดีนี้) หลังจากหกเดือนผ่านไป เย็นวันศุกร์วันหนึ่งนายบีรู้สึกเคร่งเครียดปวดขมับ เนื่องจากปัญหาหลายด้านรุมเร้า ทั้งเรื่องที่ทำงาน (เจ้านายเป็นเกย์) เรื่องที่บ้าน (ครอบครัวหัวโบราณของแฟนสาวเร่งรัดให้แต่งงาน) ฯลฯ ทำให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นกำลัง นึกถึงสาวหมอนวดแผนโบราณขึ้นมาได้ จึงตัดสินใจโทรไปเรียกใช้บริการนางสาวเอตั้งหน้าตั้งตาขับรถจากอพาร์ทเมนต์ของตนซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือถึง 5 ไมล์ เพื่อมาหานายบีถึงที่ โดยพกอุปกรณ์นวดแผนโบราณมาพร้อม นางสาวเอขึ้นไปนวดให้นายบีถึงในห้องพักชั้น 15 ห้อง 1520 โดยมีพยานรู้เห็นคือพนักงานประจำเคาน์เตอร์ชั้นล่างของอพาร์ทเมนต์ และที่นี่เองที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นนางสาวเออ้างว่า หลังจากนวดไปได้สักพัก เธอถูกนายบีใช้กำลังข่มขืน เธอสู้แรงไม่ไหว และพยายามร้องให้คนช่วย แต่เนื่องจากห้องดังกล่าวเป็นห้องหัวมุม จึงไม่มีใครได้ยิน นายบีข่มขืนเธอจนสำเร็จความใคร่ หลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เธอจึงรีบสวมเสื้อผ้า เก็บข้าวของอุปกรณ์นวดแผนโบราณ และหนีออกมาจากห้องนั้น ขับรถกลับบ้านทันทีส่วนนายบีพูดหน้าตาเฉยว่า เขามีเพศสัมพันธ์กับเธอในวันนั้นจริง แต่ไม่ใช่เป็นการข่มขืน ทุกอย่างเกิดจากการสมยอม โดยนายบีอ้างว่า นางสาวเอมีเจตนาขายบริการทางเพศพ่วงกับการนวดแผนโบราณอยู่แล้ว สังเกตจากรูปที่ปรากฏบนนามบัตร และในวันนั้นนางสาวเอเป็นคนเสนอตัวให้เขาเอง และเขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้วเรียบร้อย(สำหรับทั้งสองบริการ) ซึ่งกรณีบริการอย่างหลัง นางสาวเอปฏิเสธหลังเกิดเหตุ ปรากกฏว่านางสาวเอขับรถกลับไปอพาร์ทเมนต์ของตน พยานที่เป็นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์อพาร์ทเมนต์ของนายบีบอกว่า เขาไม่เห็นว่านางสาวเอมีท่าทางผิดปกติขณะลงมาจากห้องของนายบี หลังจากนั้นนางสาวเอไม่ได้ไปทำงานที่ซุปเปอร์มาเก็ตอีกสามวัน ไม่ได้ไปตรวจร่างกาย และไม่ได้ไปแจ้งความ กระทั่งในวันที่สี่ทางซุปเปอร์มาเก็ตจึงไล่เธอออก เนื่องจากขาดงาน ทำให้เธอไม่ได้รับค่าชดเชย ในวันที่ห้านางสาวเอจึงมาแจ้งความว่าเธอถูกข่มขืน ซึ่งเป็นเหตุให้เธอตกใจ หวาดกลัว หวั่นวิตก และเครียดจัดจนต้องเก็บตัวอยู่แต่ในอพาร์ทเมนต์ ไม่สามารถไปทำงานได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอโดนไล่ออกในขณะที่นายบีอ้างว่า ถ้านางสาวเอถูกเขาข่มขืนจริง เธอควรจะไปแจ้งความทันทีตั้งแต่ขับรถออกจากอพาร์ทเมนต์ ไม่ใช่รอให้ผ่านไปจนกระทั่งห้าวัน โดยไม่มีใครรู้ว่าสาม-สี่วันที่ขาดงานเธอไปทำอะไรมาบ้าง นายบีอ้างว่า เพราะนางสาวเอรู้ว่าตนเองกำลังจะไม่มีรายได้ เนื่องจากถูกไล่ออกจากงาน จึงมาฟ้องเป็นคดีข่มขืนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาและขอค่าชดเชยขอให้ลูกขุนร่วมกันพิจารณา...สำหรับคดีนี้ การพิจารณาข้อเท็จจริงของลูกขุนต้องอิงกับหลักการเกี่ยวกับภาระการพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีอาญาของสหรัฐ ซึ่งใช้หลัก “Beyond A Reasonable Doubt-BRD” ค่ะหลักนี้ถือเป็นภาระการพิสูจน์พยานหลักฐานที่แน่นหนาที่สุด (90-100%) เหนือกว่าหลัก “More Likely than Not” (มากกว่า 50%) และหลัก “Clear and Convincing Evidence” (70-90%) ซึ่งโดยปกติทั้งสองหลักหลังนี้จะใช้กับการพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีแพ่งกล่าวอีกในหนึ่งก็คือ ในคดีอาญา โจทก์มีภาระหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ศาลและลูกขุนเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงโดยปราศจากข้อสงสัย หลังเสร็จสิ้นกระบวนการสืบพยาน คณะลูกขุนทั้งหลายต้องแยกย้ายกลับไปประชุมร่วมกัน ณ ห้องที่จัดไว้  เพื่อมีความเห็นว่า ตกลงในคดีนี้ ลูกขุนเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โดยแต่ละคนต้องแบกเอาหลัก “Beyond A Reasonable Doubt” เข้าไปใช้ในการพิจารณาด้วยจากการเข้าร่วมเป็นคณะลูกขุนด้วยตัวเองในวันนั้น ทำให้ได้ข้อคิดอะไรอีกมากเกี่ยวกับระบบนี้ ซึ่งดูแล้วก็เชื่อว่าไม่น่าเหมาะจะนำมาใช้กับประเทศไทยสักเท่าไหร่โดยเฉพาะในสังคมพวกมากลากไปอย่างบ้านเราในห้องพิจารณาของลูกขุนพบว่า มีกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน โดยเชื่อว่างานนี้จำเลยไม่สมควรถูกตัดสินว่าได้กระทำผิด เนื่องจากผู้เสียหายไม่ได้ไปแจ้งความทันทีหลังเกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่าที่มาฟ้องคดีนี้เพราะต้องการค่าชดเชยมากกว่า นอกจากนี้ประเด็นยังมีข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายมีเจตนาขายบริการทางเพศด้วยจริงหรือไม่ อาศัยหลัก  Beyond A Reasonable Doubt จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยในขณะที่อีกกลุ่มบอกว่ากรณี้นี้ ไม่เป็นที่สงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงหรือไม่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่หญิงผู้เสียหายจะช็อกมาก ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงไม่ไปทำงาน และถูกไล่ออกจากงาน คดีไม่มีประเด็นน่าสงสัย เชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงทั้งสองฝ่ายมีจำนวนใกล้เคียงกัน หลังจากผ่านการถกเถียงพักใหญ่ ให้ออกเสียง ปรากฏว่า ฝ่ายถือหางข้างจำเลยชนะคดีนี้ปรากฏว่านายบีจำเลยสุดหล่อรอดตัวไปตามระเบียบค่ะ เพิ่มเติม1. ปัจจุบันได้มีการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราจากเดิม “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภรรยาของตน...”  เป็น “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น...” ทั้งนี้เพื่อให้รวมถึงความผิดอาญาที่ (ก)สามีข่มขืนภรรยา (ข)ชายข่มขืนชาย (ค)หญิงข่มขืนชาย (ง)หญิงข่มขืนหญิง หรือ(จ)ภรรยาข่มขืนสามีด้วย2. สำหรับประเทศไทย ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุการณ์ที่กระทำกันตัวต่อตัว จึงต้องอาศัยพยานแวดล้อมประกอบว่ายินยอมหรือถูกข่มขืน เช่น คำพิพากษาฎีกาที่1605/2538 เมื่อเกิดเหตุถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้เสียหายได้บอกให้บิดาทราบทันทีที่บิดากลับบ้านหลังเกิดเหตุ 2 ชั่วโมง เป็นพยานแวดล้อมรับฟังได้ว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราฉะนั้น เมื่อเกิดเหตุแล้วอย่าอยู่นิ่งเฉยนานเกินไป ให้รีบบอกคนใกล้เคียงหรือรีบแจ้งความโดยเร็วที่สุด* นักประพันธ์และนักการศึกษาชาวอเมริกัน