Skip to main content
หัวไม้ story
หัวไม้ story - คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์) 
ชาน่า


“เม้าท์แตก...ชาวเรา” วางแผงแล้ววันนี้... Behind the scene of come out the closet !ออกพรรษาแล้วนะคะแต่เชื่อว่าหากหลายคนยังรักษาศีลไม่ว่าจะอยู่ในหรือออกนอกพรรษาก็จะได้กุศลอย่างใหญ่หลวง  และเป็นสุขกันถ้วนหน้าค่ะสัปดาห์นี้ ชาน่ายังอยู่เมืองไทยก่อนจะบินไปทำงานประจำที่อเมริกา และยุโรปต้นเดือนหน้า  หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการรวมเล่ม ... “เม้าท์แตก...ชาวเรา”  จึงอยากจะเล่าเรื่องราวความเป็นมา “กว่าจะเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คออกสู่สายตามหาชน”ตอนแรกก็เกิดอาการสองจิตสองใจ ว่าจะรวมเล่มดีมั้ย ผลกระทบจะเป็นเยี่ยงไร หลากหลายความคิด  แต่สุดท้าย แรงสั่นสะเทือนและเจตนาอย่างแรงกล้านั้นได้เข้าสิงสถิตย์ในวิญญาณ  เคยทำงานประจำพอได้พักร้อน หยุดทำงานแล้วมันเกิดอาการว่างจัด   โดยเฉพาะการกลับมาพักร้อนในฤดูฝน ช่วงพรรษา ฝนตกน้ำท่วม  ออกไปไหน ทำอะไรไม่ได้มาก จึงได้ไอเดียในการเผยแพร่ เรื่องราวหลากหลาย มากมายต่างมุมมองของวิถีเกย์กล้า เกย์บ้านนา เกย์เด็กแนว(ตะเข็บชายแดน)  เกย์โกอินเตอร์ เพราะเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยก็คงพอจะเป็นสาระ (แน) และบันเทิงผ่านตัวอักษร เป็นหนังสือสื่อสร้างสรรค์เนื้อหาบางตอนได้ตัดต่อ เพิ่มเติมเพื่อความเหมาะสมและให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์สูงสุดชาน่าลงทุนร่วมแรง ร่วมใจกับผองเพื่อน จัดทำเล่มนี้ขึ้นมาด้วยใจรัก  แม้จะได้รับกระแสหลากหลาย  ทั้งคนที่หวั่นไหว เกรง กลัว เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  เพราะเป็นเรื่องราว “แรงได้จิต” แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบนโลกกลมๆ ใบนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนหลายเพศ (เดี๊ยนรับรอง)  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ใครหลายคนยอมรับ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะผลักดัน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามความต้องการของใครหลายคน"เม้าท์แตก...ชาวเรา" เป็นการรวมเล่มจากคอลัมน์ พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์ ในเว็บหนังสือพิมพ์ประชาไท   จีบปากจีบคอโดย เกย์(สาว)เปรี้ยว ชาน่า ผู้ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวหลากหลายมุมมองของเกย์ไทยและต่างแดน ไลฟสไตล์ วิถีเกย์กล้า  แสนฮา สุดขำ แสบสันต์ หรือเศร้า น้ำเน่าเอาเรื่อง หลากหลายสาระและความมันส์  บนพื้นฐานของชีวิตจริงที่ต้องเกี่ยวข้องกับ ชายจริง หญิงแท้ อ่านได้ทุกเพศไม่จำกัด รับรองคุณจะวางไม่ลง"“Coming out the closet!” The Gay Living Tips, Travel, and Safe Sex Experiences. 
National Book Fair 2007, Bangkok – A new pocket book called “Coming Out the Closet!” was released officially at Anit Publishing Booth on 23rd October, 2007 during the National Book Fair 2007. 

The author “Chana”, a popular columnist in http://www.prachatai.com, told the true stories of herself and her gay gangs by using fun languages and slangs which specifically use among gays. The stories are about gay life style, relationship, social & family issues, travel, and knowledge of safe sex. “Human beings should love each other without barriers in caste or genders. If we are fulfilled with love we will protect each other from their pain and save people’s lives. Because of love, we care for each other, and encourage each other when someone is down. We provide a chance for someone to go on with their lives and give our hands to support them. I wish gays would share love and compassion with each other forever.” Introduction provided by Udomprachathorn, Wat Prabath Num Phoo. “This book is the most real book I have ever! Chana - I cannot believe what stories you have and as for myself they are all Real because I was there as well! The Gay Life.... Two Thumbs UP for You!” Stefan Engl, Asst. Food & Beverage Manager, Queen Mary 2, Cunard Line The partial of sales will be donated to the charity and HIV patient at Wat Prabaht Num Phoo, Saraburi.อ่านง่าย...ถ่ายคล่อง รับรอง แสบสันต์แสนฮา เนื้อหาแรงได้จิต แต่โดน..เจ้าค่ะตัวอย่าง....สาระ(บาน)   - สารบัญ    “เม้าท์แตก...ชาวเรา"

ชวนเม้าท์...ชีวิตชาวเรา 
1. พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์ Gay’s talk and Lifestyle 
2. รักเอย ...ของชีวิตเกย์ What love got to 
do ! 
3. ไซเบอร์เซ็กส์ ...เอ็กซ์ผ่านจอ Cyber Sex …XXX through screen. 

ชวนเม้าท์...โลกของเรา 
4. ฟิตเนสเพื่อสุขภาพของเกย์ For healthy life .Let’s go to Gay Fitness. 
5. ซาวน่า 
ไลฟ์สไตล์ของชาวเรา Sauna… another gay lifestyle . 
6. เป็นเกย์หรือไบ จะแสดงออกดีหรือไม่ ควรบอกใครดี Coming out ? 
7. 25 ข้อดีที่แสนประเสิร์ฐของคนที่เกิดเป็นเกย์ กะเทย คุณเห็นด้วยหรือไม่ 25 advantages for being gay. 
8. Hot line สายร้อน สายด่วนของเกย์ Gay hot line…Line is getting hotter !! 
9. เกย์สาวออฟฟิศ เคยจีบใครในที่ทำงานหรือเปล่า Are gays Flirt @ work ? 
10. วิธีสังเกตุชายคนไหนที่เป็นเกย์ How to observe gay characteristics. 
11. คิดยังไงกับการมีลูกบุญธรรมของเกย์ Adopted Child by gay . 

เม้าท์หนัง...ฟังเพลง 
12. “ Brokeback Mountain “ แตกหลังเขา เราสามเพศที่เกี่ยวข้อง Brokeback mountain..the secret love ..makes me alive.! 
13. เพื่อนกูรัก(มรึง)ว่ะ Bangkok Love story is it true love ? 
14. ความรักที่เป็นเพลงความลับ กับชู้ทางใจของมัม ลาโคนิค “Secret lover” Is a secret forever ! 

เที่ยวไป...เม้าท์ไป 
15. คัมภีร์พาเที่ยวทั่วโลกของเกย์ “Gay Guide book” a gay planet . 
16. ท่องราตรี ที่กรุงเทพ ๑ one night in Bangkok 1 
17. ท่องราตรี ที่กรุงเทพ ๒ one night in 
Bangkok 2 
18. พาเที่ยวเกาะเกย์ที่ดังของโลก The gay friendly Island,Mykonos - Greece 
19. หาดเปลือย ทำไมคนชอบไปจัง Oh my gosh !... Nude Beach
20. เกย์สัญจร พาเที่ยว เวนิสเมืองที่โรแม๊นติกมากที่สุดในโลก 
The most romantic city in the world. 
21. มหึมา Gay Cruise พาท่องล่องนาวากับเรือสำราญ wow !! Homo Titanic cruise ! 

ขอเม้าท์...เตือนใจ 
22. เตือนใจ เม้าท์เตือนภัยรายวันสำหรับชาวสีม่วงและทุกเพศ Daily warning for purple chicks ! 
23. วิธีแชทอย่างไรให้ปลอดภัย Being safe for Chatters ! 
24. ใครบอกว่า ออรัลไม่ติดโรค Oral Sex may get infected . 
25. ช่องทางโกอินเตอร์ ขายเนื้อ ค้าน้ำกามข้ามชาติ Prostitute…goes inter ! 
26. พาไปรู้จักถุงยางอนามัยสิ่งที่เกย์รักสนุกต้องใช้ Condom …a tool for having fun. 
27. ป๊อบเปอร์ สิ่งเสพติดหรือแค่สารที่ทำให้เคลิ้มยามร่วมเพศ Poppers it’s drug or just arousing sex ! 
28. เตือนเพศทั้งหลายเรือนหลังสุดท้ายของผู้ป่วยเอดส์ -วัดพระบาทน้ำพุ The last resident of HIV patients.เวลาในการทำหนังสือเล่มนี้ ...วันที่ 12 ตุลาคม 50 ตัดสินใจเข้าออฟฟิศเพื่อน (บริษัท อีดีที กรุ๊ฟ เอ็กเพรส) เพื่อเปิดเป็นฐานปฎิบัติการอำนวยการ   ระดมเรียก ตีฆ้อง ร้องป่าว ชาวเพื่อนรัก ร่วมกันทำวันที่ 13 ตุลาคม 50  ได้รับคำนิยมจากท่านเจ้าคุณประชาทร วัดพระบาทน้ำพุ  ตอนเช้าเข้าสตูดิโอ  เดอะ ไฮนิส สตูดิโอ ทองหล่อ 55 ตอนเย็นเลือกรูปและออกแบบหน้าปก วันที่ 14-16 ตุลาคม 50 สามวัน สามคืน กิน นอน ทำงานในออฟฟิศ ทั้งอาร์ตเวิร์คและ จัดหน้า โดยได้ลุย (เพื่อนวงการทีวี ) มาช่วยเต็มพลัง วันที่ 17 ตุลาคม 50  ส่งต้นฉบับเข้าสู่ โรงพิมพ์ “ภาพพิมพ์”  ซึ่งมีคุณปอ ดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดี   รวมทั้งได้รับอาร์ตเวิร์คหน้าปก ซึ่งมีน้องชายคนหนึ่งที่ทำรีทัชภาพชาน่า ออกมาไม่ให้หน้าชา  ขอบอกว่าคนเดียวกันที่ทำรีทัชภาพพี่มาช่าในโฆษณาล่าสุดเจ้าวันที่ 18 ตุลาคม 50  ตรวจทาน ต้นฉบับ สองสามครั้ง ไปกลับโรงพิมพ์และออฟฟิศทองหล่อวันที่ 19 -22 ตุลาคม 50  ปฎิบัติการพิมพ์พ็อกเก็ตบุ๊ค  ในระหว่างนั้นได้ติดต่อผับ บาร์ ต่าง ๆ เพื่อโปรโมทหนังสือ  ตอนเย็นได้รับหนังสือส่งตรงถึงออฟฟิศ และบริษัทจัดจำหน่าย โดย อนิศ ดิสทริบิวชั่น จำกัดวันที่ 23 ตุลาคม 50  ตื่นแต่เช้า เสื้อผ้า แต่งหน้าทำผม (วิกปลอม)  โดย เดอะ ไฮนิส สตูดิโอ   เที่ยงถึงบ่ายโมง ที่งานหนังสือแห่งชาติ ไปแจกลายเซ็ง .. พิมพ์ผิด ค่ะ ลายเซ็นต์ ซึ่งได้พบปะเพื่อนพ้อง น้องพี่ คนอ่านหนังสือใหม่และเก่ามากมายสรุปเบ็ดเสร็จ 10 วัน “ฉันทำได้ “  “chana she can”ด้วยเจตนารมย์ของชาน่า และเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ร่วมกันทำ รายได้ส่วนหนึ่งเราจะมอบให้กับการกุศลต่าง ๆตามสมควรและวัดพระบาทน้ำพุ  นั่นคือจุดประสงค์หลัก “เรารักสังคม”  เพราะไม่ได้ให้สำนักพิมพ์ไหนทำเพื่อธุรกิจการค้า หวังผลกำไร แต่สิ่งที่เราได้คือความสุข อันพึงมีที่เราอยากจะหยิบยื่นเพื่อสังคมของเราสมัยเรียนชาน่าเคยได้รับทุนการศึกษา จากสังคมตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งล่าสุดระดับปริญญาตรีเคยได้รับทุนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ  ในรั้วรามคำแหง  จึงได้รับการปลูกฝัง ว่าหากเรามีโอกาสเราจะตอบแทนสังคมหลายครั้งหลายครา ที่ชาน่าผ่านจังหวะวิกฤติของชีวิตที่เกือบเอาตัวไม่รอด เกือบจะไม่ได้กลับมาแผ่นดินเกิด  พอการกลับมาพักร้อนปีนี้จึงได้คิดและทำในสิ่งที่ตัวเองฝัน  เพราะชีวิตของคนเรา ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น  หากมีโอกาสคิดที่จะทำอะไรก็จงทำเสียเถิด จักเกิดผล อย่างน้อยสุดแม้อะไรจะเกิดขึ้นตอนนี้ก็ถือว่า ...เราทำดีที่สุดแล้ว  
อันดับแรกต้องขอขอบพระคุณ ประชาไท เว็บไซต์ข่าวคุณภาพเพื่อสังคมและประชาชน  ที่ให้โอกาสชาน่าได้ถ่ายทอดเรื่องราว แม้บางครั้งอาจจะมีใครหลายคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเขียน แต่ถือว่านั่นคือกำลังใจในทุกความรู้สึกที่ได้   ขอบคุณ คุณ ภู เชียงดาว ผู้ชักนำเข้าสู่วงการ และพี่ น้องผองเพื่อน ประชาไททุกคนขอขอบพระคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ทุกความคิดเห็นและทุกข้อความสนับสนุนในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่อนเว็บไซต์ พันทิป ประชาไท และเว็บของชาวเราทั้งหลายมากมายค่ะมากกว่าคำขอบคุณเพื่อนนักอ่าน เพื่อนใหม่ เพื่อนเก่าที่ติดตามกันมาโดยตลอด กราบขอบพระคุณ พี่ ๆ สื่อมวลชน และสื่อทีวี วิทยุ วารสาร หนังสือพิมพ์ เว็บไซด์ต่าง ๆ ที่ช่วยแนะนำหนังสือเล่มนี้ฮ่ะ
ฝากถึงทุกท่าน...หากคิดว่า หนังสือเล่มนี้...  “เม้าท์แตก...ชาวเรา”  จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ร่วมด้วยช่วยชาน่า โปรโมทเพื่อเข้าถึงกลุ่มได้อย่างทั่วถึงนะคะ  และหากผิดพลาดประการใด ชาน่าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวนะคะชาน่าไม่หวังอะไรมาก แค่อยากจะแปลเป็นเก้าภาษาทั่วโลก และมีใครนำเรื่องไปสร้างเป็นหนังดังระดับฮอลลี่วู๊ด   ว๊ายยยยย  ล้อเล่น ฮ่ะ ...(นี่ขนาดไม่หวังอะไรมากนะคะ)หาซื้อได้ที่ไหน...สิ้นเดือน ตุลาคมนี้ ติดตามได้ทุกร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ทั่วไทย อาทิเช่น ร้านบีทูเอส  นายอินทร์ ซีเอ็ด บุ๊คสไมล์เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา ราคาเล่มละ 159 บาทค่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก หรือถ้าสามารถเข้าใจได้แล้ว...ก็ยังมีเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือการปฏิบัติให้ได้จริงและเป็นจริง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝืนใจปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ที่ล้วนแล้วแต่เกิดมาเพื่อเรียนรู้การยึดมั่นถือมั่น มากกว่าการลดละและปล่อยวาง...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องนี้ ซึ่งถือกันว่าเป็นแก่นของพุทธศาสนาที่พระเดชพระคุณท่านพุทธทาสภิกขุ เคยพูดเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้คน จะกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่คนจะเข้าใจและปฏิบัติได้ พวกเราส่วนมากที่สักแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จึงกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้...แต่กลับไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียวจากของดีที่อยู่ใกล้ตัว เพราะมันฝืนความเคยชิน ฝืนใจคนกิเลสหนาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ  เหลือเกินครับพระคุณเจ้า...จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอีกเหมือนกันที่คนที่หันหลังให้กับทางโลกย์เข้าไปหาทางธรรม ถึงขั้นเข้าวัดวาหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง จึงมักจะเป็นคนที่ได้ประสบกับความทุกข์ทางใจอันใหญ่หลวงมาแล้วอย่างหนักหนาสาหัส และมองเห็นความทุกข์นั้นด้วยตัวเองจริง ๆ เท่านั้น ที่มักจะพากันเข้าไปด้วยความสมัครใจ และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเมื่อเดินมุ่งหน้าเข้าไปแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะถอยหลังกลับมาดังเช่นกรณี ท่านศาสตราจารย์ อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง นักปฏิบัติธรรม อาวุโส ผู้มีชื่อเสียงขจรขจายในวงการพุทธ ศาสนา ได้ให้สัมภาษณ์ คุณขวัญใจ เอมใจ เอาไว้ในหนังสือสารคดีประจำเดือนมีนาคม 2543 เกี่ยวกับเส้นทางการปฏิบัติธรรมของท่านเอาไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งตรงกับประเด็นที่ผมได้เกริ่นกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษา ดังต่อไปนี้สารคดี : เหตุผลหลักที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ท่านตัดสินใจบวชคืออะไรคะ ดิฉันได้ยินมาว่า มีความ    คิดสองทาง มองว่าคนที่มาบวชนั้น หนึ่ง เพราะมีความทุกข์ สอง เป็นคนที่กำลังแสวงหา บางคนมองไกลไปถึงว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้แสวงหาอีกท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติอ.รัญจวน : เห็นทุกข์ค่ะ แต่ก่อนนี้ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่อาการของความทุกข์ก็คืออาการซัดส่ายของใจ วุ่นวายไม่เป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าอยู่กับความทุกข์ เพราะไม่เคยศึกษา พอมาตอนหลังก็มีเหตุที่ทำให้เริ่มเห็นความทุกข์ชัดขึ้น คือเรื่องหลานชาย ดิฉันมีหลานชายที่ดิฉันเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ  เขาเป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาด เรียนหนังสือดี อยู่มหาวิทยาลัยก็เรียกว่าเป็นดารา แต่เขาเป็นคนคิดมาก ดิฉันไม่รู้ว่าเขาคิดมากขนาดไหน ภายนอกของเขาเป็นคนที่รื่นเริงบันเทิงใจมาก อยู่ที่ไหนมีแต่จะทำให้ที่ตรงนั้นมีเสียหัวเราะ เพื่อนฝูงจะไปไหนก็มาขอให้เขาไปด้วย เพราะเขาเป็นคนนำ ทำให้เพื่อนฝูงสนุกสนาน มีปัญหาอะไรก็แก้ไขปัญหาให้เพื่อน แต่ผลที่สุด เขาก็แก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ ต้องเข้าไปอยู่โรงพยาบาลจนทุกวันนี้  เขาไม่ก้าวร้าว แต่จะพูดจะคิดอะไรเลื่อนลอย อยู่กับความหลัง อยู่กับอนาคต แต่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ตอนนั้นดิฉันเริ่มรู้แล้วว่า อ้อ...ความทุกข์มันเป็นเช่นนี้เองแล้วก็นั่งคิด เอ...นี่เราเลี้ยงเขาผิดหรือเปล่า ทั้งที่เราก็ประชาธิปไตยพอสมควร มีอะไรก็พูดอภิปรายกัน ไม่ได้เก็บกักอะไรเขาเลย ก็ถามตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกเศร้าใจ ยิ่งเมื่อเห็นดอกเตอร์หนุ่ม ๆ ก็นึกในใจ หลานเราก็เป็นได้ แล้วเขาก็เป็นได้อีกตั้งหลายอย่าง เป็นนักดนตรี นักพูด นักเขียน แต่กลับมาเป็นอย่างนี้ นี่ละจิตที่ทุกข์จริง ๆ ก็ตอนนั้นสารคดี : เรื่องหลานชายถือเป็นเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้เห็นทุกข์ กระทั่งตัดสินใจบวชอ.รัญจวน : ใช่ค่ะ เริ่มเห็นความทุกข์ชัดเจนขึ้น ทั้ง ๆ ที่เราอยู่กับความทุกข์มาตลอดชีวิตอย่างที่เล่ามาแล้ว นี่ที่สำคัญมากนะคะ คนทุกคนในโลกนี้คลุกคลีกับความทุกข์มาตลอด แต่ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันกลับมองไม่เห็น มันมีอยู่ตลอดทั้งวัน  ตลอดระยะทางของชีวิต เกือบจะทุกขณะทุกชั่วโมง ก็ที่เดี๋ยวเราดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวชอบใจ เดี๋ยวไม่ชอบใจอีกแล้ว นั่นละ แต่เพราะไม่เคยเรียนรู้ ก็เลยไม่รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่กับความทุกข์ จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่เรารักมาก ยึดถือมาก...ว่ามันเป็นของเราเกิดวิปริตขึ้นมา มันถึงตีตูมเข้ามาที่ใจ ทำไมถึงเห็นว่าเป็นทุกข์มาก ทุกข์ใหญ่  เพราะเราไม่เคยได้ฝึกอบรมใจ เพื่อจะต้อนรับทุกเล็ก ๆ  ที่ผ่านใจเข้ามาตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยรู้ เราไม่เคยจัดการ ที่หลังมันก็จะสะสมความทุกข์ ความไม่พอใจมาเรื่อยทีละน้อย ๆ แล้วพอมีอะไรใหญ่มาก ๆ ลงมาตูมเดียว จึงไม่มีความต้านทานที่จะรับแต่สำหรับตัวเอง พอจะรับได้บ้าง ไม่ถึงเป็นบ้าเป็นหลังไปกับความทุกข์ ไม่ได้ล้มสลบสิ้นสติลงไป ที่เน้นเรื่องนี้ก็อยากจะบอกทุกคนว่า เราควรจะต้องศึกษาเรื่องความทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอริยสัจสี่ และเมื่อเกิดอะไรขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นทุกข์ใหญ่ เช่นไฟไหม้บ้าน เกิดอุบัติเหตุตายทั้งหมู่ ลูกสาวหลานสาวถูกข่มขืน ยำยี มันก็จะไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ชอกช้ำจนถึงเสียสติสารคดี : อาการของท่านเองตอนที่เจอทุกข์ใหญ่มากในตอนนั้น เป็นอย่างไรบ้างอ.รัญจวน : ข้างนอกนี่ไม่เป็นอะไร แต่ข้างในรู้สึกเหนื่อย...เหนื่อยมากเหลือเกิน เพราะพอหลานชายออกจากโรงพยาบาล แล้วก็ต้องเอาเขามานอนเตียงข้าง ๆ ติดกัน แล้วก็ต้องคอยพูดคอยปลอบใจ ให้กำลังใจ แนะนำต่าง ๆ  ไหนจะงานสอนที่รามคำแหง แล้วตอนนั้นเป็นประธานสภาอาจารย์รามคำแหง ซึ่งเริ่มมีเป็นครั้งแรกด้วย พอมาถึงบ้านก็ต้องมาทำงานพยาบาลด้วย แล้วพยาบาลโรคทางใจนี่หนักกว่าโรคทางกายนัก เพราะฉะนั้น นอกจากทุกข์เพราะสงสารว่าเขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังทุกข์เพราะเหนื่อยอีก มันเหนื่อยสายตัวแทบขาดทีเดียว เหนื่อยทุกอย่างทั้งกายและใจ เลยรู้ว่า อ๋อ...ลักษณะของความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนี้เองถ้ามองจากตอนนี้ ถามว่า ที่ตอนนั้นตัวเองทุกข์เพราะอะไร ก็ตอบว่า ทุกข์เพราะอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น  ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเราก็ไม่ทุกข์  มีเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มีอาการอย่างหลานชายของเราอีกนับพันนับหมื่น ทำไมเราไม่ไปทุกข์กับเขา ก็เพราะเขาไม่ใช่หลานเรา นี่ธรรมะบอก เพราะเราไปยึดมั่น เพราะฉะนั้นจึงทุกข์มาก นี่ถ้าไม่ใช่หลานของเรา มีอะไรจะช่วยได้ก็คงช่วยกันไปเท่าที่กำลังจะช่วยได้  แต่ไม่ต้องเสียใจเศร้าหมองจนไม่คิดถึงเหตุผลอย่างใช้สติปัญญาครับ ผมหวังว่า บทสัมภาษณ์ บทนี้ของอาจารย์รัญจวน ที่สูญเสียหลานชายที่ท่านรัก และเป็นเหตุทำให้ท่านหันหน้าเข้ามาปฏิบัติธรรมตราบจนเท่าทุกวันนี้ คงจะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจคำว่า ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอความทุกข์ทางใจของคนเราได้ง่ายขึ้น และได้รับประโยชน์จากความเข้าใจนี้กันทุกคนนะครับ.17 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ภาพประกอบจาก http://dungtrin.com ขอบคุณครับ