Skip to main content

...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา

 

ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว

ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า)

บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา

(จะดราม่าไปไหน?)

นึกอยากเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ หาสาระมิได้บ้าง เพราะบางครั้งความคิดก็ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ปะติดปะต่อ สงสัยจริงว่าจะมีใครทนฟังการพูดคุยแบบไม่มีหัวไม่มีหาง (ปี่ขลุ่ยก็ไม่มี) อย่างที่ฉันเป็น (ออกจะบ่อย) ได้บ้าง

 

มีอยู่วันหนึ่ง เกิดความสงสัยในบางเรื่องราวเลยไปตั้งคำถามกับเด็กๆ

เรื่องของเรื่องคืออยากจะเล่านิทาน ชวนเด็กวาดรูปและเล่นสี ก็เลยถามขึ้นมาดื้อๆ ว่า เด็กๆ จ๋า หนูคิดว่า เจ้าม้าลายมันสีดำลายขาว หรือสีขาวลายดำกันแน่น่ะฮึ

ช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระสิ้นดี! อันนี้เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อน(ไม่สนิท)คนหนึ่ง

แต่สำหรับเด็กๆ มันไม่ใช่อ้ะ! เนี่ย ปัญหาที่สั่นสะเทือนมวลมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ดูได้จากการที่เด็กๆ คิดๆๆๆๆ แล้วก็พยายามตอบกันอย่างจริงจังจริงใจยิ่งกว่านักการเมืองอภิปรายในสภา อุ๊ปส์ ขออภัยค่ะ ผิดที่!

 

สาระของฉันไมได้อยู่ที่คำตอบถูกผิด แต่อยู่ที่ว่า ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ตะหาก

เรียกว่าให้ความสำคัญกับกระบวนการคิด โอ้ว ฟังดูดีมีเหตุผล

หนูคนหนึ่งตอบว่า หนูว่าสีดำลายขาวค่ะ ทำไมล่ะคะ ฉันถามทันทีไม่ให้มีช่องว่าง

ก็สีดำมันมากกว่านี่คะ แล้วสีขาวก็เป็นเส้นๆ แบบนี้ไง (วาดเส้นๆ ให้ดูด้วย)

ใครบอก สีขาวลายดำตะหาก (อีกคนแย้งทันควัน) นี่ไงๆ มันมีสีขาวก่อน แล้วถึงทาสีดำทับลงไปแบบนี้ (วาดบ้าง)

 

ผมว่ามันไม่อยากสีนี้ร้อก! หนุ่มน้อยคนหนึ่งบอกอย่างมั่นใจ ฉันรีบตะครุบทันที แล้วหนูคิดว่ามันอยากสีอะไรคะ...

(ช้อบชอบ เด็กคิดนอกกรอบแบบนี้)

มันต้องอยากสีส้มลายสีเขียว ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำไมล่ะคะ ถามต่ออีก

ก็มันไม่อยากซ้ำกับใครไงคู! ทำท่าขมวดคิ้วแบบรำคาญความไม่รู้ของ “คู” เสียอีกด้วย

ฉันทำตาโต บอกว่า แหม อยากเห็นจัง! ได้ยินดังนั้น จิตรกรน้อยก็ลงมือวาดม้าลายส้มเขียวทันที

ทีนี้มากันใหญ่เลย หนูก็ว่ามันต้องสีชมพู ใครบอก! มันต้องลายสีฟ้ากับสีแดง ไม่ใช่! สีฟ้ากับสีเหลืองตาหาก

ม้าลายเริ่มมีสีมหัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่หนูว่ามันไม่อยากมีสีเลยซักสีเดียว! สาวน้อยคนหนึ่งเชิดหน้าประกาศ

แล้วม้าลายสีต่างๆ (รวมทั้งม้าไม่มีสี) ก็ควบกุบกับรอบตัวจนฉันตาลาย

 

ท่ามกลางความตาลาย ก็เกิดปิ๊งแวบว่า คราวหน้าเล่นเรื่องลายบ้างดีกว่า

ถ้าม้าลายไม่อยากลายเป็นริ้ว มันน่าจะลายอะไรดี ลายดอกไม้ดีมั้ย หรือว่าจะลายไทย ลายสก็อต ...อิอิ ได้ไอเดียหากินต่ออีกแล้วครับพี่น้อง

 

ครั้งหนึ่งเล่านิทานเรื่องเค้าแมวน้อยกลัวความมืด แล้วชวนเด็กๆ วาดรูปนกเค้าแมวตัวกลมๆ ตาโตๆ วาดไปคุยไป

อยู่ๆ ก็มีเด็กถามว่า คูขา ทำไมมันถึงชื่อนกเค้าแมวล่ะค้าคู...ครูค่ะ เด็กขา ครูรูรูรู...อย่าลืม ร เรือ สิคะ

ก็มันมีบางอย่างที่ดูเหมือนแมวสิคะ คำว่าเค้า หมายความว่ามีส่วนที่เหมือน คือนกมันมีส่วนเหมือนแมวอยู่นิดหน่อย

แล้วมันเหมือนแมวตรงไหนล่ะค้า....

เออ นั่นสิ ตรงไหนหว่า แต่คนอย่างฉันรึจะอับจนกับคำถามเด็กๆ เลยตอบไปว่า แล้วหนูๆ คิดว่าตรงไหนล่ะคะ

ฮิฮิ คิดไม่ออกก็ใช้วิธีถามกลับอย่างนี้แหละ นอกจากเอาตัวรอดได้แล้ว ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกทักษะการคิดหาเหตุผลอีกด้วย น้าน..มีหลักวิชาการอ้างอิงพร้อม

 

เด็กๆ หาเหตุผลกันใหญ่ เด็กคนหนึ่งตอบเสียงดัง รู้แล้วๆ ว่าเหมือนแมวตรงไหน...ตรงไหนคะ... ก็มีตาสองข้างเหมือนกันเลยไงคับคู! โอ้ว ให้คะแนนการสังเกตและการเชื่อมโยงเต็มสิบอ้ะค่ะ

คูขา แล้วนกกะแมวอะไรเกิดก่อนกันคะ...แน่ะ มีคนถามเลียนแบบฉันเข้าแล้ว เพราะวันก่อนๆ ฉันเคยถามว่า เด็กๆ จ๋า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันคะ

แล้ว...เอิ่ม แล้วหนูคิดว่าอะไรมาก่อนล่ะคะ...(ยังคิดไม่ทันเลยใช้มุขเดิม) แต่เด็กๆ คงเดาทางออก รีบบอกกันใหญ่ ไม่เอา ไม่เอา ครูบอกมาก่อนเซ่

ก็ได้ค่ะ พี่ เอ๊ยครูคิดว่า แมวต้องเกิดก่อนแน่นอนที่สุด

ทำไมครับ...ทำไมคะ...จริงหรอ...พี่รู้ได้ไง...ขี้โม้.. (อ๊ะ ไอ้คำวิจารณ์สุดท้ายนี้ดังมาจากไหนกัน?)

คือหยั่งนี้นะคะ... (รู้จริงมั้ยไม่รู้ละ ทำท่าอมภูมิไว้ก่อน)

...เวลาคนเขาตั้งชื่อนกชนิดนี้ เขาก็นึกๆๆ ว่าเอ จะชื่ออะไรดีน้า อ๊ะ นึกออกละ ก็มันดูมีเค้าแมวอยู่นิดๆ นะ งั้นให้ชื่อนกเค้าแมวแล้วกัน นี่แสดงว่าแมวต้องเกิดก่อน นกถึงเหมือนแมวได้ เด็กๆ ลองนึกดูสิคะ ถ้านกเกิดก่อนแมว ก็ต้องมีแมวเค้านกแล้วละสิ จริงมั้ย น้าน...งง...งงละสิ โฮ่ะ โฮ่ะ บอกแล้วไม่เคยจนมุมเด็ก

(แต่มาทบทวนทีหลัง ดูเหมือนสีหน้าเด็กๆ จะบอกว่า ไม่ไหวจะเคลียร์ เพลียที่จะเอาสาระจากพี่เอ๊ย “คู” คนนี้แล้วหละ เฮ้อ...)

 


 

สมัยที่ยังสอนอยู่ในโรงเรียนหนึ่งแถวๆ ถนนสายไหม ใกล้ๆ ซอยวัชรพล สอนวันละ 5 คาบ ตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงป.6 บางช่วงได้โบนัสพิเศษ (ตรงไหน?) คือได้สอน ม.1 ถึง ม.3 ด้วย สนุกแทบสาหัสแน่ะค่ะคุณขา (จำได้นะฮึ่ม เด็กโข่งม.3 ที่ถามว่า จาน จาน จานอายุเท่าไหร่เหรอ...น่ะ)

บางวันสอน 5 ชั้น เตรียมการสอนตั้ง 5 แบบแน่ะ (เรียกว่าถั่งโถมโหมแรงไฟกันเลยทีเดียว)

ประสาครูผู้กระตือรือร้นคิดว่า เด็กแต่ละวัย ความสนใจไม่เท่ากัน ต้องหารูปแบบกิจกรรมและเนื้อหาให้เหมาะสม จะมาสอนแบบเดียวทั้งปีทั้งชาติไม่ด๊าย...

 

แต่มีอยู่เช้าวันหนึ่ง กำลังเล่านิทานแบบ “เล่าไปวาดไป” เรื่องคุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ อยู่ในชั้นอนุบาล 3

ก็มีเด็กๆ ชั้นป.4 เดินผ่านห้องน้องๆ จะไปเรียนอะไรไม่ทราบ (เป็นชั้นป.4 ที่จะต้องเจอฉันในช่วงบ่าย) ชะโงกเข้ามาฟังกันใหญ่จนโดนครูประจำวิชาดุเอา

 

พอบ่ายเดินเข้าห้องป.4 ดังกล่าว ก็เจอตาแป๋วแหวววิบวับสามสิบกว่าคู่ มีกระดาษกับสีวางบนโต๊ะเรียบร้อย

หยิบขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่หมดชั่วโมงผมแน่ะ” อาจารย์หนุ่ม (เหลือ) น้อยบอกก่อนเดินสวนออกไป ไม่รู้อารมณ์ไหน เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ ขอโทษค่ะ

ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เตรียมมาเล่าเพื่อจุดประกายในการสร้างงานศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ พลันข้อเสนอใหม่ก็เซ็งแซ่ “เอาเรื่องกลมๆ เล็กๆ” “อยากฟังนิทานแบบน้องอนุบาล” “จะวาดรูปอย่างนั้นบ้างอ้ะ” “จานขา เอาเล่านิทานแบบเมื่อเช้านะค้า...”

จาน เอ๊ยครูที่ดีต้องให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เด็กควรมีสิทธิเลือกเรียนในสิ่งที่เขาชอบและสนใจ เรื่องโลกร้อนจึงจำต้องร้อนต่ออีกนิด ปล่อยให้คุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ สามสิบกว่าตัวสนุกสนานอยู่ในห้องชั้นป.4

 

ฉันว่า รอยยิ้มและประกายสดใสในแววตาของเด็กๆ ก็ทำให้โลกเย็นลงได้เหมือนกัน

 

คราวหน้า (ถ้าไม่ไปสนใจเรื่องอื่นซะก่อน) มีเรื่องหมาๆ ในชั้นเรียนมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…