Skip to main content

...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา

 

ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว

ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า)

บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา

(จะดราม่าไปไหน?)

นึกอยากเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ หาสาระมิได้บ้าง เพราะบางครั้งความคิดก็ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ปะติดปะต่อ สงสัยจริงว่าจะมีใครทนฟังการพูดคุยแบบไม่มีหัวไม่มีหาง (ปี่ขลุ่ยก็ไม่มี) อย่างที่ฉันเป็น (ออกจะบ่อย) ได้บ้าง

 

มีอยู่วันหนึ่ง เกิดความสงสัยในบางเรื่องราวเลยไปตั้งคำถามกับเด็กๆ

เรื่องของเรื่องคืออยากจะเล่านิทาน ชวนเด็กวาดรูปและเล่นสี ก็เลยถามขึ้นมาดื้อๆ ว่า เด็กๆ จ๋า หนูคิดว่า เจ้าม้าลายมันสีดำลายขาว หรือสีขาวลายดำกันแน่น่ะฮึ

ช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระสิ้นดี! อันนี้เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อน(ไม่สนิท)คนหนึ่ง

แต่สำหรับเด็กๆ มันไม่ใช่อ้ะ! เนี่ย ปัญหาที่สั่นสะเทือนมวลมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ดูได้จากการที่เด็กๆ คิดๆๆๆๆ แล้วก็พยายามตอบกันอย่างจริงจังจริงใจยิ่งกว่านักการเมืองอภิปรายในสภา อุ๊ปส์ ขออภัยค่ะ ผิดที่!

 

สาระของฉันไมได้อยู่ที่คำตอบถูกผิด แต่อยู่ที่ว่า ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ตะหาก

เรียกว่าให้ความสำคัญกับกระบวนการคิด โอ้ว ฟังดูดีมีเหตุผล

หนูคนหนึ่งตอบว่า หนูว่าสีดำลายขาวค่ะ ทำไมล่ะคะ ฉันถามทันทีไม่ให้มีช่องว่าง

ก็สีดำมันมากกว่านี่คะ แล้วสีขาวก็เป็นเส้นๆ แบบนี้ไง (วาดเส้นๆ ให้ดูด้วย)

ใครบอก สีขาวลายดำตะหาก (อีกคนแย้งทันควัน) นี่ไงๆ มันมีสีขาวก่อน แล้วถึงทาสีดำทับลงไปแบบนี้ (วาดบ้าง)

 

ผมว่ามันไม่อยากสีนี้ร้อก! หนุ่มน้อยคนหนึ่งบอกอย่างมั่นใจ ฉันรีบตะครุบทันที แล้วหนูคิดว่ามันอยากสีอะไรคะ...

(ช้อบชอบ เด็กคิดนอกกรอบแบบนี้)

มันต้องอยากสีส้มลายสีเขียว ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำไมล่ะคะ ถามต่ออีก

ก็มันไม่อยากซ้ำกับใครไงคู! ทำท่าขมวดคิ้วแบบรำคาญความไม่รู้ของ “คู” เสียอีกด้วย

ฉันทำตาโต บอกว่า แหม อยากเห็นจัง! ได้ยินดังนั้น จิตรกรน้อยก็ลงมือวาดม้าลายส้มเขียวทันที

ทีนี้มากันใหญ่เลย หนูก็ว่ามันต้องสีชมพู ใครบอก! มันต้องลายสีฟ้ากับสีแดง ไม่ใช่! สีฟ้ากับสีเหลืองตาหาก

ม้าลายเริ่มมีสีมหัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่หนูว่ามันไม่อยากมีสีเลยซักสีเดียว! สาวน้อยคนหนึ่งเชิดหน้าประกาศ

แล้วม้าลายสีต่างๆ (รวมทั้งม้าไม่มีสี) ก็ควบกุบกับรอบตัวจนฉันตาลาย

 

ท่ามกลางความตาลาย ก็เกิดปิ๊งแวบว่า คราวหน้าเล่นเรื่องลายบ้างดีกว่า

ถ้าม้าลายไม่อยากลายเป็นริ้ว มันน่าจะลายอะไรดี ลายดอกไม้ดีมั้ย หรือว่าจะลายไทย ลายสก็อต ...อิอิ ได้ไอเดียหากินต่ออีกแล้วครับพี่น้อง

 

ครั้งหนึ่งเล่านิทานเรื่องเค้าแมวน้อยกลัวความมืด แล้วชวนเด็กๆ วาดรูปนกเค้าแมวตัวกลมๆ ตาโตๆ วาดไปคุยไป

อยู่ๆ ก็มีเด็กถามว่า คูขา ทำไมมันถึงชื่อนกเค้าแมวล่ะค้าคู...ครูค่ะ เด็กขา ครูรูรูรู...อย่าลืม ร เรือ สิคะ

ก็มันมีบางอย่างที่ดูเหมือนแมวสิคะ คำว่าเค้า หมายความว่ามีส่วนที่เหมือน คือนกมันมีส่วนเหมือนแมวอยู่นิดหน่อย

แล้วมันเหมือนแมวตรงไหนล่ะค้า....

เออ นั่นสิ ตรงไหนหว่า แต่คนอย่างฉันรึจะอับจนกับคำถามเด็กๆ เลยตอบไปว่า แล้วหนูๆ คิดว่าตรงไหนล่ะคะ

ฮิฮิ คิดไม่ออกก็ใช้วิธีถามกลับอย่างนี้แหละ นอกจากเอาตัวรอดได้แล้ว ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกทักษะการคิดหาเหตุผลอีกด้วย น้าน..มีหลักวิชาการอ้างอิงพร้อม

 

เด็กๆ หาเหตุผลกันใหญ่ เด็กคนหนึ่งตอบเสียงดัง รู้แล้วๆ ว่าเหมือนแมวตรงไหน...ตรงไหนคะ... ก็มีตาสองข้างเหมือนกันเลยไงคับคู! โอ้ว ให้คะแนนการสังเกตและการเชื่อมโยงเต็มสิบอ้ะค่ะ

คูขา แล้วนกกะแมวอะไรเกิดก่อนกันคะ...แน่ะ มีคนถามเลียนแบบฉันเข้าแล้ว เพราะวันก่อนๆ ฉันเคยถามว่า เด็กๆ จ๋า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันคะ

แล้ว...เอิ่ม แล้วหนูคิดว่าอะไรมาก่อนล่ะคะ...(ยังคิดไม่ทันเลยใช้มุขเดิม) แต่เด็กๆ คงเดาทางออก รีบบอกกันใหญ่ ไม่เอา ไม่เอา ครูบอกมาก่อนเซ่

ก็ได้ค่ะ พี่ เอ๊ยครูคิดว่า แมวต้องเกิดก่อนแน่นอนที่สุด

ทำไมครับ...ทำไมคะ...จริงหรอ...พี่รู้ได้ไง...ขี้โม้.. (อ๊ะ ไอ้คำวิจารณ์สุดท้ายนี้ดังมาจากไหนกัน?)

คือหยั่งนี้นะคะ... (รู้จริงมั้ยไม่รู้ละ ทำท่าอมภูมิไว้ก่อน)

...เวลาคนเขาตั้งชื่อนกชนิดนี้ เขาก็นึกๆๆ ว่าเอ จะชื่ออะไรดีน้า อ๊ะ นึกออกละ ก็มันดูมีเค้าแมวอยู่นิดๆ นะ งั้นให้ชื่อนกเค้าแมวแล้วกัน นี่แสดงว่าแมวต้องเกิดก่อน นกถึงเหมือนแมวได้ เด็กๆ ลองนึกดูสิคะ ถ้านกเกิดก่อนแมว ก็ต้องมีแมวเค้านกแล้วละสิ จริงมั้ย น้าน...งง...งงละสิ โฮ่ะ โฮ่ะ บอกแล้วไม่เคยจนมุมเด็ก

(แต่มาทบทวนทีหลัง ดูเหมือนสีหน้าเด็กๆ จะบอกว่า ไม่ไหวจะเคลียร์ เพลียที่จะเอาสาระจากพี่เอ๊ย “คู” คนนี้แล้วหละ เฮ้อ...)

 


 

สมัยที่ยังสอนอยู่ในโรงเรียนหนึ่งแถวๆ ถนนสายไหม ใกล้ๆ ซอยวัชรพล สอนวันละ 5 คาบ ตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงป.6 บางช่วงได้โบนัสพิเศษ (ตรงไหน?) คือได้สอน ม.1 ถึง ม.3 ด้วย สนุกแทบสาหัสแน่ะค่ะคุณขา (จำได้นะฮึ่ม เด็กโข่งม.3 ที่ถามว่า จาน จาน จานอายุเท่าไหร่เหรอ...น่ะ)

บางวันสอน 5 ชั้น เตรียมการสอนตั้ง 5 แบบแน่ะ (เรียกว่าถั่งโถมโหมแรงไฟกันเลยทีเดียว)

ประสาครูผู้กระตือรือร้นคิดว่า เด็กแต่ละวัย ความสนใจไม่เท่ากัน ต้องหารูปแบบกิจกรรมและเนื้อหาให้เหมาะสม จะมาสอนแบบเดียวทั้งปีทั้งชาติไม่ด๊าย...

 

แต่มีอยู่เช้าวันหนึ่ง กำลังเล่านิทานแบบ “เล่าไปวาดไป” เรื่องคุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ อยู่ในชั้นอนุบาล 3

ก็มีเด็กๆ ชั้นป.4 เดินผ่านห้องน้องๆ จะไปเรียนอะไรไม่ทราบ (เป็นชั้นป.4 ที่จะต้องเจอฉันในช่วงบ่าย) ชะโงกเข้ามาฟังกันใหญ่จนโดนครูประจำวิชาดุเอา

 

พอบ่ายเดินเข้าห้องป.4 ดังกล่าว ก็เจอตาแป๋วแหวววิบวับสามสิบกว่าคู่ มีกระดาษกับสีวางบนโต๊ะเรียบร้อย

หยิบขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่หมดชั่วโมงผมแน่ะ” อาจารย์หนุ่ม (เหลือ) น้อยบอกก่อนเดินสวนออกไป ไม่รู้อารมณ์ไหน เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ ขอโทษค่ะ

ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เตรียมมาเล่าเพื่อจุดประกายในการสร้างงานศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ พลันข้อเสนอใหม่ก็เซ็งแซ่ “เอาเรื่องกลมๆ เล็กๆ” “อยากฟังนิทานแบบน้องอนุบาล” “จะวาดรูปอย่างนั้นบ้างอ้ะ” “จานขา เอาเล่านิทานแบบเมื่อเช้านะค้า...”

จาน เอ๊ยครูที่ดีต้องให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เด็กควรมีสิทธิเลือกเรียนในสิ่งที่เขาชอบและสนใจ เรื่องโลกร้อนจึงจำต้องร้อนต่ออีกนิด ปล่อยให้คุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ สามสิบกว่าตัวสนุกสนานอยู่ในห้องชั้นป.4

 

ฉันว่า รอยยิ้มและประกายสดใสในแววตาของเด็กๆ ก็ทำให้โลกเย็นลงได้เหมือนกัน

 

คราวหน้า (ถ้าไม่ไปสนใจเรื่องอื่นซะก่อน) มีเรื่องหมาๆ ในชั้นเรียนมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…