Skip to main content

การบริภาษผู้ที่มาทำให้เราไม่พอใจนั้นมีอยู่ด้วยกันทุกชนชาติ หากแต่ถ้อยคำที่ก่นด่ากันนั้นมีนัยยะสำคัญอย่างไร เหตุใดคนที่เลือกสรรถ้อยคำนั้นขึ้นมาจึงคิดว่าจะเป็นคำที่เจ็บแสบ สามารถระบายอารมณ์พลุ่งพล่านนั้นลงได้ ว่าแต่ว่า คำที่คนชาติหนึ่งด่ากันแล้วนำเอาไปด่าใส่คนอีกชาติหนึ่งมันจะเจ็บแสบอย่างเดียวกันหรือไม่ หรือคนด่าจะเป็นฝ่ายเจ็บเสียเอง

คำด่าไม่ต้องสอน มิหนำซ้ำยังเรียนรู้ไว เพราะภาษามีไว้สื่อความคิด ถ่ายทอดอารมณ์ เเละเเน่นอนว่าภาษาที่ดีต้องสื่อได้ทุกอารมณ์เเม้เเต่อารมณ์โกรธ ฉะนั้นการสืบทอดคำด่าจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ละชาติแต่ละภาษาคงไม่ต้องการให้ภาษาของตนมีคำหยาบ แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงการเกิดขึ้นของคำด่าได้อย่างแน่นอน แม้แต่คำสุภาพในสมัยหนึ่ง คนอีกสมัยหนึ่งกลับมองว่าไม่สุภาพ เช่น กู มึง แต่ใช่ว่าจะคนในสมัยปัจจุบันจะไม่นิยมใช้


เท่าที่สังเกตดูสังคมไทย ในการด่าจะมีการแบ่งแยกเพศค่อนข้างชัดเจน หากเป็นชายอกสามศอก นิยมแบบตระกูลสัตว์ไม่ประเสริฐทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สี่เท้าที่มีบุญคุณอย่าง
ควาย สัตว์ป่าที่ไม่เคยอุจจาระรดหัวใครอย่าง แรด รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานที่นักธรรมชาติวิทยาบอกว่าเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมที่ เหี้ย อาศัยอยู่ หากเพศเดียวกันด่ากันเองก็มักมอบของส่วนตัวที่มีเหมือนๆ กันให้ไปดูต่างหน้า นั่นคือ กล้วย แต่ถ้าจะแฝงความหมายถึงความขลาดแล้วก็ต้อง ไอ้หน้าตัวเมีย ซึ่งคำนี้เองผู้ชายที่ถูกด่าจากผู้ชายด้วยกันก็จะเจ็บแสบประมาณหนึ่ง แต่ถ้าคนด่าเป็นหญิงแล้วจะถึงกับปวดแสบปวดร้อนเลยทีเดียว

ในเพศหญิง นิยมเปรียบเทียบคนที่ไม่ชอบหน้าว่า เป็นดอกไม้ชั้นสูงที่ทำด้วยทองคำ ถ้าเป็นสมัยก่อนยังมีอีกคำนั่นคือ
สำเพ็ง ถึงแม้จะเป็นย่านการค้าขายของคนจีนแต่ก็มีการทำธุรกิจส่วนตัวของผู้หญิงด้วย คนที่ถูกด่าจึงถูกเปรียบเปรยเป็น โสเภณี ส่วนคำที่ผู้หญิงนิยมด่าเพศเดียวกันรวมทั้งด่าผู้ชาย (ชายอกสามศอกคงไม่ใช้ด่าใคร นอกจากผู้ชายสีชมพู) นั่นคือ หน้าอี๋

แถวบ้านผมมีอีกคำที่นิยมด่ากัน นั่นคือ
อีเห็ด ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า เห็ด มันมีลักษณะพิเศษอย่างไร คนถึงเอามาใช้เป็นคำด่ากัน

เท่าที่ได้ลองเสิร์ชหาข้อความที่มีผู้เขียนกระทู้เอาไว้ในเว็บไซท์ต่างๆ พบว่า มีนักท่องอินเตอร์เนตรวบรวมคำด่าของบรรดาชนชาติต่างๆ ไว้มากมาย ซึ่งได้ยกมาพอเป็นสังเขป ดังนี้

คำที่ฝรั่งด่ากัน คำที่ได้ยินกันบ่อยหน่อยจากฮอลลีวู้ดก็น่าจะเป็น
Fuck you คงจะทำนองเดียวกันกับ เจ้ดแม่ง ในภาษาไทย นอกนั้นก็เป็นต้นว่า Dumbbell (ยัยทึ่ม) Lunatic (บ้า) Bone head (งี่เง่า) Schmuck (โง่) Mad dog (หมาบ้า) Creep (แมลงโสโครก) prick (ตัวซวย) wicked (เลวทราม) Go Fuck yourself ! (อันนี้ขอไม่แปลดีกว่า) (จาก : http://www.siamzone.com/board/view. php?sid=749099)

คำด่าภาษาจีนน่าจะคล้ายๆ กับภาษาไทยตรงที่ นิยมด่าพ่อล่อเเม่เเละด่าถึงโครตเหง้าเหล่ากอ เช่น เก๋าเจ้ง (ชาติหมา) หวังปา (แปลว่า ตะพาบน้ำ คงทำนองเดียวกับที่คนไทยด่ากันด้วยคำว่า ไอ้เอี้ย เเต่คนจีนด่าว่า ไอ้ตะพาบ) วังปาดั้น (ไอ้พันธุ์ถ่อย) (จาก
: http://www.china2learn.com/board/ show.php? qID =3698)

คำด่าของคนทางเหนือที่คุ้นหูมักด่ากันว่า จ่าดวอก หรือ จ่าดง่าว นอกนั้นที่พบในเว็บไซท์เป็นกองพะเรอเกวียนที่ดูคล้ายจะฟังออกแต่ไม่ค่อยเข้าใจและเลยไม่รู้จะเจ็บแสบอย่างไรไหว เช่น

...ห่ากิ๋นตั๊บ ง่าวสุ๊ดหัวสุ๊ดตี๋นบ่อมีปั๋ญญาหาเงิน...มีก่ากู้ๆๆๆ...บ่าปันต๋าย...บ่าง่าว...  บ่ะฮ่ากิ๋นตั๊บ กิ๊นไต๋ บะลูกค่ำ ลูกงำ... ตำเฮาะ ตำวายตายพาย ตายกั๊ดบ่าจ๊าดหมา อีแห่น ซากต๋าย สิบหล๊วกคิงเขา แลกง่าวฮาอันเดว ยังบ่าเอาน่ะบะ จ๋าเหลือ... อิ่วอก อิ่พาย ตุ่มปิ๊ดติดคอ บ่าฮ่า บ่าวอก บ่าปันต๋ายบ่าหน้ามุ่ม... (จาก : http://www.cm108.com/bbb/lofiversion/index.php/t25269. html)

คำด่าของคนอีสาน เช่น หมากินความคึด ไม่สามารถสรรหาคำอธิบายได้ตรงๆ แปลโดยศัพท์ในภาษาไทยกลางก็คือ สุนัขกินความคิด ซึ่งดูจะเป็นคำธรรมดาๆ ซึ่งคนไม่รู้ภาษาอีสานคงไม่รู้สึกเจ็บ หากให้เทียบเคียงกับคำในภาษาไทยก็คงจะทำนองเดียวกันกับ โง่บัดซบ (จาก
: http://www. esaanvoice.net/esanvoice/know/showart.php?Category=bot&No=11919)

ส่วนคำด่าของคนทางใต้ เท่าที่เคยสัมผัสคนใต้มาบ้าง ขนาดคนใต้ที่สนิทสนมกันคุยกันธรรมดาก็ยังดูเหมือนกำลังจะมีเรื่อง แล้วหากเกิดด่ากันขึ้นมาคงยิ่งระทึกขวัญคนที่ไม่คุ้นเคยไม่น้อย เป็นต้นว่า เร่อ (ซื่อบื้อ เกือบๆ จะโง่ ทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่รู้เรื่อง) ฉอย (เสือก) ทำถ้าว (เสือก) ถ็อกหวัก (คำนี้ไม่กล้าแปล มีผู้รู้เทียบเคียงให้ฟังเพียง แผ่แม่เบี้ย) ขาดหุ้น (สติไม่สมประกอบ) เบล่อ (โง่) ขี้ฮก (โกหก) จองดอง (ทะลึ่ง) ห่าจก (ตะกละ) เอิด (เกเร) โบล่ะ (ขี้เหร่) (จาก
: http://www. muanglung.com/pasatai.htm)

แล้วคนมอญด่ากันแบบไหน ที่แน่นอนก็คือ คนมอญไม่นิยมด่ากันด้วยการลากโคตรเหง้าเอามากอง ไม่ด่ากันแบบยกให้เป็นสัตว์ที่ไม่ประเสริฐ รวมทั้งไม่เอาอวัยวะของผู้ที่ถูกด่าไปเปรียบเทียบกับอวัยวะที่ควรปกปิดหรืออวัยวะที่อยู่ระดับล่างๆ ของร่างกาย จะมีเพียงคำเดียวที่ด่ากันด้วยคำที่บ่งบอกบอกถึงนัยยะการสืบพันธุ์ คำด่าของคนมอญส่วนใหญ่เป็นลักษณะเฉพาะทางชาติพันธุ์ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคำที่ใช้ด่าทอกันได้ แน่นอนว่าคนชาติพันธุ์หนึ่งด่ากัน (ด่ากันเองหรือด่าคนต่างชาติพันธุ์) ก็ย่อมแปลกลิ้นแปร่งหูกว่าคำที่คนชาติพันธุ์อื่นด่ากัน


คำด่าของคนมอญที่ผมได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกิด เป็นคำด่าที่มีมานานแล้วหลายร้อยปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่หดหาย และไม่เพิ่มขึ้น มอญในเมืองไทยและมอญในเมืองมอญ (ประเทศพม่าในปัจจุบัน) ก็ยังคงด่าเหมือนกัน (ด่ากันรู้เรื่อง) คำที่แปลกออกไป
ที่บ่งบอกบอกนัยยะการสืบพันธุ์ นั่นคือ จะต๊อก ส่วนคำด่าอมตนิรันดร์กาลมีเพียง ๓ คำ นั่นคือ จองเดิง จองเฮียก และ จองต่ะฮ์

มีอยู่คำเดียวที่รับเอาวัฒนธรรม (หรือเปล่า) การด่าแบบคนไทยไปใช้นั่นคือ
ปะกาวทอ   ปะกาว แปลว่า ดอกไม้ ทอ เป็นภาษามอญโบราณและเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ทอง ในภาษาไทย ดังนั้นคำนี้จึงด่าที่เกิดจากการแลกรับปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมกับสังคมไทย ซึ่งมักจะเอามาด่ากันแบบขำๆ เสียมากกว่า

ในจำนวนคำด่าทั้ง ๓ คำของมอญจะสังเกตได้ว่าขึ้นต้นด้วยคำว่า
จอง คำนี้แปลว่า เผา ส่วน เดิง แปลว่า เมือง เฮียก แปลว่า ใหม้ และ ต่ะฮ์ แปลว่า เตียน เหี้ยน โล่ง (ประมาณว่าเผาแล้วกวาดกองเถ้าถ่านให้กระจัดกระจายด้วยส้นเท้ากันเลยทีเดียว) ฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเจ็บแสบอะไร เพียงแต่คนมอญมีประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด ด้วยตนเองเคยมีบ้านเมือง ปราสาทราชวัง และกษัตริย์ราชบัลลังก์ วันหนึ่งก็ถูกพม่าบุกปล้นทำลายและยึดครอง มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมากันในหมู่คนมอญว่า พม่าเข่นฆ่าผู้คนไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ ศพลอยเกลื่อนจนแม่น้ำอิรวดีเป็นสีเลือด ไฟที่เผาผลาญปราสาทราชวัง วัดวาอาราม รวมทั้งบ้านเรือนราษฎรเปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นสูงหลายเส้นและนานนับเดือนโดยไม่ยอมดับ ปัจจุบันผืนดินบริเวณนั้นสุกเป็นดินเผา (อิฐ) ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้กระทั่งทุกวันนี้

แม้ประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าทำนองนี้จะไม่ส่งเสริมความสมานฉันท์ในโลกปัจจุบัน แต่ในเมื่อจนถึงทุกวันนี้ ผู้ถูกกระทำยังไม่ได้รับการเยียวยา มีแต่จะตอกย้ำด้วยพฤติกรรมดั้งเดิม (พม่า)  บาดแผลเก่าใหม่และความทรงจำที่เลวร้ายจึงกระตุ้นเตือนให้ลูกหลานมอญรำลึกถึงชนชาติและบรรพชนของตนที่ต้องหอบลูกจูงหลานหนีไฟสงครามเข้ามาอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทย คนนอกวัฒนธรรมคงรู้สึกขำหากถูกด่าว่า อีเผาเมือง ผีเผาไหม้ หรือ อีเผาเหี้ยน แต่สำหรับคนมอญโดยเฉพาะหญิงสาวด้วยแล้ว ถึงกับน้ำตาตกแทบจะหาสามีไม่ได้กันเลยทีเดียว เพราะการถูกด่าว่า
อีเผาเมือง นั้น เท่ากับถูกหาว่าเป็น พม่า ผู้เผาบ้านเผาเมืองของบรรพชนจนราบพนาสูญ

 

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
ภาสกร  อินทุมาร เหตุการณ์ที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงบทความเกี่ยวกับแรงงานต่างชาติที่มหาชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานที่มาจากประเทศพม่า กล่าวว่าแรงงานเหล่านี้จะเข้ามายึดครองพื้นที่ รวมทั้งคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ที่ห้ามมิให้แรงงานเหล่านี้จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม เพราะเกรงว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติสิ่งที่สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ซึ่งอ้างว่า “รักชาติ” แต่เป็นการรักชาติแบบ “มองไม่เห็นความเป็นมนุษย์” และได้ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางต่อความรู้สึกนึกคิดของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนไทยเชื้อสายมอญในมหาชัย…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิด (นัด)ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีวันสำคัญวันหนึ่งของคนมอญไม่ว่าจะอยู่ไหนทั้งในประเทศไทย พม่า และต่างประเทศก็จะรวมตัวร่วมใจในการจัดงานสำคัญนี้ นั่นก็คือ “วันชาติมอญ” และในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ นี้  วันชาติมอญก็จะเวียนมาบรรจบครบรอบเป็นครั้งที่ ๖๑ ถึงแม้ว่าวันชาติมอญถือกำเนิดเกิดขึ้นในกลุ่มคนมอญเมืองมอญ (ประเทศพม่า) ก็ตาม จะด้วยเป้าหมายทางการเมือง หรือ อุดมการณ์ชาตินิยมมอญ มันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า “วันชาติมอญ” ได้สะท้อนความรู้สึกและสำนึกถึงรากเหง้าและจุดกำเนิด  ซึ่งก็ไม่ต่างจากผู้คนเชื้อชาติอื่น ภาษาอื่นที่พึงจะพูดถึงที่ไปที่มาของตนเอง  ยิ่งไปกว่านั้น “วันชาติมอญ”…