Skip to main content

    

Arnold Schoenberg

(นักประพันธ์เพลงคนโปรดของ Adorno)

ดูเหมือนความตายของ Adorno ในปี 1969 จะทำให้ผู้ที่ใช้แนวคิดของ Adorno มาวิพากษ์ Popular Music หยุดเติบโตไปด้วย พวกเขามักจะมองดนตรีที่มีอิทธิพลตั้งแต่ยุค 70's เป็นต้นมาอย่างเหมารวมและติ้นเขิน พวกเขาถึงขั้นจัด The Beatles, Nirvana และ Linkin Park ไว้ในประเภทเดียวกัน

ผมไม่ปฏิเสธความเป็นป็อบและร็อคของทั้งสามวงที่ยกตัวอย่างมานี้ หากความเป็นร็อคคือความหนัก และการมีจังหวะที่ชัดเจน หากความป็อบคือความติดหู ฟังง่าย ผมก็เชื่อว่าทั้ง สี่เต่าทอง, กรันจ์เจอร์นิพพาน และ สวนสาธารณะของลินคอร์น ต่างก็มีความเป็นป็อบและความเป็นร็อคทั้งสิ้น (หลายเพลงของ Nirvana ฟังแล้วติดหูมาก ผมยอมรับตรงนี้เหมือนกัน) เพียงแต่การนำคุณสมบัติบางอย่างที่เหมือนกันมาตัดสินว่าดนตรีร็อค ไม่ว่าจะในยุค 60's, 90's หรือยุคปัจจุบัน ล้วนเป็น Popular music ที่ผลิตอะไรซ้ำๆ เหมือนๆ กันไปหมด มันก็ฟังดูทุเรศทุรังไม่น้อย

ดนตรีพวก Classical music เองก็หยิบยืมอะไรจากกันและกันมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้ผมไม่อาจจะชี้ชัดในรายละเอียดแบบลึกๆ ลงไปได้ แต่ขอบอกด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปก็ได้ว่า สำหรับคนที่เคยฟัง Popular music มาตั้งแต่เกิด (ไม่ต้องไปหาที่ไหน คนที่เราเดินเฉียด เดินสวนกัน 98 ใน 100 ล้วนเป็นผู้ที่ฟัง Popular Music มาตั้งแต่เกิดทั้งสิ้น) จะแยกไม่ออกว่าเพลงคลาสสิคเพลงนึงเป็นของยุค Baroque (ค.ศ.1600-1750) หรือยุค Renaissance (ค.ศ.1450-1600) ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่ไม่ได้ฟังดนตรี Rock อย่างจริงจังจะเห็นว่า Nirvana กับ Linkin Park มันก็เหมือนๆ กันก็ไม่แปลก

พวกที่เอาแนวคิดของ Adorno มาจับ Popular music ของยุค 70's เป็นต้นไปนั้น ก็มักจะมองด้วยกรอบที่ตีมาแล้วว่า "ขึ้นชื่อว่าเป็น Popular music มันต้องเหมือนกันแน่ๆ" โดยไม่เคยได้สนใจบริบททางวัฒนธรรมที่ประกอบสร้างดนตรีแนวย่อยๆ ทั้งหลายขึ้นมาเลย

พวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่าเหตุใดวัยรุ่นชนชั้นล่างในอังกฤษถึงลุกขึ้นมาเล่นเพลงง่ายๆ แต่งตัวแสบๆ จนกลายเป็นแนวพังค์

พวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงชอบมีคนโยงดนตรี grunge (ดนตรีร็อคแบบของ Nirvana, Pearl Jam ฯลฯ ) เข้ากับ Generation X

พวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่าทำไมทั้ง Damon Albarn (ตอนนั้นเป็นนักร้องนำวง Blur) และ Noel Gallagher (แห่ง Oasis) ต่างพร้อมใจพากันออกมาด่าพวก grunge ถ้าไม่ทางตรงก็แอบสอดลงไปในเนื้อเพลง

แน่นอน...ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิเสธเรื่องความเป็น Elite ในแนวคิดของ Adorno มากขนาดไหน แต่การละทิ้ง ไม่ยอมลงมาศึกษาสิ่งที่พวกเขาเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์อยู่บนหอคอย มันก็โชยกลิ่น Elite มาให้เหม็นหืนอย่างช่วยไม่ได้

สิ่งที่ Adorno เชิดชูเป็นอย่างมากอีกอย่างหนึ่งในดนตรีคือ Atonality ซึ่งพูดง่ายๆ คือดนตรีที่ไม่มีฐานตัวโน๊ตและบันไดเสียงหลัก บ้างก็เรียก Twelve-tone คือ บันไดเสียง 12 เสียง และทั้ง 12 เสียงมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เวลาบรรเลงจึงทำให้เกิดซาวน์ดนตรีที่มีลักษณะขัดหู หัวเรือใหญ่ของดนตรีแนวนี้คือนักประพันธ์ที่ชื่อ Arnold Schoenberg และอีกคนที่ผมพอจะเคยฟังบ้างคือ Bela Bartok ซึ่ง Adorno รวมถึงผู้ที่เชื่อใน Adorno บางคน ได้เชิดชูดนตรีที่มีลักษณะนี้ไว้ว่าเป็นดนตรีที่ช่วยปลดปล่อย (Liberate) ออกจากแบบแผนการวางตัวโน๊ตแบบเดิมๆ ซึ่งหมายความว่า มันคือดนตรีที่เต็มไปด้วยเสรีภาพ และจิตวิญญาณอิสระ ไม่ได้ทำการล้างสมองใครด้วยสรรพสำเนียงซ้ำซาก

ผมขอขยายความก่อนหน้าที่จะพูดถึงนิทานกล่อมเด็กอันแสนยิ่งใหญ่ของ Adorno เขาได้เขียนถึง Popular Music ไว้ว่า มันเต็มไปด้วยการเรียบเรียงแบบซ้ำๆ (Repetitive) และทำให้คนฟังติดอยู่กับการฟังตัวโน้ต- คอร์ด-จังหวะหรืออะไรก็ตามแบบซ้ำๆ ตรงนี้ไม่ต่างจากการบริโภคผลผลิตที่ซ้ำซากจากโรงงานอุตสาหกรรม และข้อความที่แฝงมาในเนื้อหาของเพลงประเภทนี้ก็เป็นการบีบให้ผู้ฟังได้แต่รับสารโดยไม่ต้องตีความ เนื่องจากทำนองเพลงอันมีลักษณะตายตัวช่วยทำให้ผู้ฟังเคลิ้มไปกับมันจนไม่ต้องได้ตีความใดๆ - นี่คือสิ่งที่ผมเรียบเรียงได้จากความพยายามใช้โวหารรำพึงรำพันของ Adorno เพื่อดิสเครดิตดนตรีป็อบ 

 

Bela Bartok

ผมได้บอกไว้ในคราวที่แล้วว่า Adorno ดันตายไปก่อนในปี 1969 การที่ผู้ศึกษา Adorno เอาแนวคิดเขามาพูดถึงดนตรีหลังยุค 70's จึงชวนให้ต้องชั่งใจเสียเล็กน้อย มีดนตรีอยู่แขนงหนึ่งที่ค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้นมาในช่วงต้น 70's มันคือดนตรีที่เรียกว่า Progressive Rock ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม Adorno ถึงคิดว่าผู้บริโภคดนตรีทั้งหลาย มันจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ความเบื่อหน่าย" เอาเสียเลย จากดนตรีพวก Folk-rock , Blues-rock , Psychedelic ในช่วงก่อนหน้า ทำให้มีศิลปินบางกลุ่มเริ่มอยากจะหลุดจากพื้นที่ตรงนั้น และก้าวเดินต่อไปเพื่อปลูกสร้างสิ่งใหม่โดยอาจจะทั้งหยิบยืมและต่อต้านสิ่งเดิม พลวัตทางศิลปะวัฒนธรรมมันมีตรงนี้อยู่ทั้งสิ้น

โดยเริ่มต้นแล้วดนตรี Progressive Rock มีส่วนหนึ่งของความทะเยอทยาน ในการที่จะทำให้ดนตรี Rock เทียบชั้นได้กับพวก (ที่เขาเรียกกันว่า) Art Music อย่างดนตรี Classic หรือดนตรี Jazz บางสายที่เต็มไปด้วยความแพรวพราว คุณสมบัติของดนตรีดังกล่าวจึงถูกผสมผสานลงไปในดนตรี Rock สมัยนั้นได้อย่างกลมกลืน จนทำให้เกิดวงอย่าง Yes, Genesis, King Crimson หรือบ้างก็พัฒนามาทางสาย Psychedelic อย่าง Pink Floyd ฯลฯ

ฟังดูแล้วเหมือนดนตรี Progressive จะเป็นเพลงของคนหัวสูง ต้องปีนกระไดฟัง (ข้อหาเดียวกับดนตรีคลาสสิก) แต่เท่าที่ผมพบเจอมา คนฟังแนวนี้ก็เป็นคนฟังเพลงธรรมดา ฟังป็อบ ฟังร็อค อะไรทั่วไป เพียงแต่อาจจะมีจำนวนน้อยหน่อย บางคนเคยฟัง Classic บางคนก็มาจากสาย Jazz บางคน (ส่วนใหญ่) ซึ่งรวมผมด้วยเป็นพวก Rock เพียวๆ มาก่อน บางคนเคยเป็น Metalhead ดุๆ แต่เบื่อหน่ายการพยายามจะแข่งกัน "โหด" อย่างเดียวเลยหันมาหาอะไรวิจิตรๆ เสียบ้าง

ผมอยากรู้ว่า Adorno จะอธิบายปรากฏการณ์ตรงนี้ว่าอย่างไร?

และคนฟัง Prog (ชื่อเรียกย่อของ Progressive Rock) ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเลย พวกเขายังคงฟัง Pop Rock ฟัง Jazz ฟังอะไรที่ตัวเองเคยฟังมาก่อนโดยไม่จำเป็นต้องสมาทานตัวเองแบบคนฟังดนตรี Classic บางคนที่ถึงขั้นไม่อยากแตะแนวอื่น หรือคนฟัง Extreme Metal บางคนที่คอยแต่จะด่าเหยียดดนตรีแขนงอื่น

นั่นอาจจะเป็นเพราะ Progressive Rock เป็นแนวดนตรีที่ไม่มีรูปแบบการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม พวกเขาคิดว่าดนตรีก็คือดนตรี ก็คือศิลปะ ขณะเดียวกันก็เป็นความบันเทิง คอนเสิร์ตสำหรับพวกเขามันก็คือโชว์อย่างหนึ่ง ซึ่งบางทีก็มีการประดิษฐ์ประดอยเวทีจนราวกับฉากโรงละคร ไม่ได้เป็นพิธีกรรมอะไรมากกว่านั้น

Adorno จะอธิบายว่าอย่างไร เมื่อได้รู้ว่าคนฟังดนตรี Pop ที่เขาเคยด่า ไม่ได้กลายเป็นทาสอุตสาหกรรมวัฒนธรรมอย่างที่เขาพูดถึง?

และยิ่งกว่านั้น Adorno จะอธิบายอย่างไร หากเขามีโอกาสได้มาฟังเพลงบางเพลงของ King Crimson แล้วพบว่ามันเป็น Atonal music ที่เขาชื่นชมนักชื่นชมนักหนา... ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรนัก เพราะนักวิจารณ์เองยังบอกเลยว่าวงนี้ได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจาก Bela Bartok นั่นแหละ!!

King Crimson

(ไม่ใช่ Line-up ในปัจจุบันแน่นอนเพราะวงนี้เปลี่ยนสมาชิกบ่อยมาก)

ก่อนที่ผมจะโดนข้อหา Romantized ดนตรี Prog (ฮิๆ) ผมก็ขอออกมาบอกว่า ไอ่ดนตรีที่ไม่มีฐานตัวโน้ตแน่นอน ไม่ได้มีแต่ใน Progressive หรือ Avant-garde (ดนตรีแนวทดลอง) เท่านั้น แม้แต่ในพวก Noise rock, Brutal, Grindcore หรืออะไรอีกหลายๆ แนวที่ผมอาจจะตกสำรวจไป มี Atonality นี้อยู่เต็มไปหมด

หากทุกท่านจำได้จากตอนที่แล้ว Adorno ได้บอกไว้ว่าดนตรี Popular Music นั้น มันได้สร้างแต่มวลชนที่เฉื่อยชา ไม่สนใจสังคม ไม่คิดจะลุกขึ้นมาปลดปล่อยตัวเองหรืออะไรอื่น

ผมอยากรู้ว่า Adorno จะอธิบายอย่างไรเมื่อได้เห็นวัยรุ่นมีการศึกษาจำนวนหนึ่ง เริ่มลุกขึ้นมาท้าทายค่านิยมเก่า เดินขบวนต่อต้านสงคราม เอาดอกไม้ทัดหูเป็นบุปผาชน พวกนี้ "เลือก" ใช้ Folk-Rock, Pop-Rock เป็นพื้นที่ประท้วง เป็นสาส์นของความรักและสันติภาพ ขณะเดียวกันก็ "เลือก" Psychedelic เป็นพาหนะเพื่อการปลดปล่อยตัวเอง

เขาจะอธิบายอย่างไรเมื่อรู้ว่าพวกพังค์ดั้งเดิมชวนกันทำอะไรห่ามๆ ท้าทายอำนาจรัฐกันอย่างกระจัดกระจาย

เขาจะอธิบายอย่างไรเมื่อได้ยินว่าชาว Black Metal ผู้อยู่ในประเทศที่ถูกกดขี่ทางศาสนามาก่อนพากันออกไปเผาโบสท์

ทั้งหมดนี้ หากเป็นพวกที่มัวเชิดชูแต่ดนตรีคลาสสิค ไม่ได้เป็นผู้ที่มาศึกษารับรู้เรื่องดนตรีป็อบจริงๆ คงเอาแต่มองว่า "พวกนี้มันหัวรุนแรง" บ้างล่ะ "ถูกดนตรีครอบงำ" บ้างล่ะ โดยไม่สนใจศึกษาเลยว่ามันมีบริบทแวดล้อมทางสังคมอยู่ด้วย แล้วอย่าทำเป็นลืมไปว่า เพลงคลาสสิคบางเพลงมันก็กลายเป็นเพลงเชิดชูสงครามและเผด็จการทหารมาเหมือนกัน

แล้วผมก็ไม่รู้ว่าทำไม Adorno ถึงโยงเรื่องความเป็น Atonality กับการปลดแอก หรือการหลุดพ้น ไปได้

เพราะไม่ว่าจะเป็น Hippies, Proghead, Metalhead, Punk, Grunger, Hardcore, Nu Metal, Emo ฯลฯ

พวกนี้เขาก็ล้วนพยายามจะ "หลุดพ้น" ไปจากอะไรบางอย่างทั้งนั้น

เพียงแต่ไอ่อะไร บางอย่าง' นั่นมันต่างกันเท่านั้นเอง

 

-------------

เนื่องจาก Blogazine ใส่เพลงไม่ได้ ผมจึงขอทำลิ้งค์คลิป youtube มาให้ดูและฟังแทน

คลิปเพลงของวง King Crimson ที่ผมอยากแนะนำให้ฟัง

http://www.youtube.com/watch?v=DJQHOFJs6mw

อันนี้ของ Bela Bartok ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=A1PK3lkIAI4

 

 

 

บล็อกของ Music

Music
ภฤศ ปฐมทัศน์ ผมได้ยินข่าวเรื่อง "จังหวะแผ่นดิน World Musiq & World Bar B Q" วันเดียวก่อนวันงานนั่นเอง ได้ยินคุณทอดด์ ทองดี พูดผ่านวิทยุว่าจะมีศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม และมีการแสดงร่วมกันของเพื่อแสดงให้เห็นว่าดนตรีมันไร้พรมแดน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดอะไรที่เป็นอุดมคติครับ และรู้สึกที่สิ่งที่คุณทอดด์แกพูดแกไม่ได้ตอแหล (แบบพวกอ้างศีลธรรม) ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงและการไหว้วอนขอให้ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมหันมาสนใจ ทำให้รู้สึกว่าแกมีความตั้งใจตรงนี้จริง ๆ แต่ว่าอุดมคติที่สวยงามบางทีมันเป็นแค่สิ่งที่ฉาบเคลือบอะไรที่ยังแหว่งโหว่อยู่ภายใน…
Music
    ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป)…
Music
ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้นในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา…
Music
  นิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล่าอิงจินตนาการพร้อมกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีแบ่งนิยายวิทยาศาสตร์ออกไว้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ คือ ‘ยุคคลาสสิก' ที่มักพูดถึงอนาคตภายใต้อวกาศกว้างใหญ่ไพศาล มองอนาคตอย่างก้าวหน้าและอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งความเจ็บปวดหลังยุคอุตสาหกรรมที่ยังมีการกดขี่กันของมนุษย์ทำให้ ‘ยุคที่สอง' ของนิยายวิทยาศาสตร์เริ่มมีท่าทีวิพากษ์สังคมเข้ามาปะปน บางเรื่องก็มีประเด็นทางสังคม อย่างการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ บ้างก็มีจินตนาการของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ มาจนถึง ‘คลื่นลูกที่สาม' ก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดกู่ จินตนาการก้าวหน้า ล้ำสมัย…
Music
 "The disgraced values of the company manAre why you fight and sacrificeDon't bend or break for their one-way rulesOr run from battles you know you'll lose""คุณค่าของคนทำงานที่ถูกลดทอนคือเหตุผลที่คุณเสียสละ ต่อสู้ และวิงวอนคุณไม่อาจฝ่าฝืนกฏเหล็กของพวกเขาได้หรือแม้จะทั่งจะหนีจากการดิ้นรนที่คุณรู้ว่าจะแพ้โดยไม่อาจทำอะไร"- Tomorrow's IndustryDropkick Murphys เป็นวงพังค์ร็อคที่มาจากการรวมตัวของชาวไอริชที่อพยพมาอาศัยในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ มีผลงานที่พอให้คนต่างแดนได้รู้จักบ้างคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The Departed ที่ชื่อ "I'm Shipping Up to Boston"…
Music
การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้งเรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด…
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง…
Music
รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว…
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน…
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป…
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี…
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง…